WebNovels

Chapter 2 - Part 1

"แล้วเราจะต้องได้เจอกันอีก!" เมื่อเสียงพูดของชายผู้เกี้ยวกราดจบลง แสงสว่างก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละน้อย เปลี่ยนให้จักรวาลดำมืดอันกว้างใหญ่ที่มีขนาดเป็นอนันต์ เปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับของดวงดาวหลายล้านดวง ความเป็นไปที่ไม่มีวันสิ้นสุด รวมความปรารถนา ความหวัง และความฝัน อยู่นับไม่ถ้วน ภายใต้ความมืดมิดของจักรวาลที่ไม่อาจล่วงรู้ได้

ห่างไกลออกไปหลายล้านปีแสง มีดาวเคราะห์ดวงนึงเต็มไปด้วยสิ่งสวยงามและเปี่ยมไปด้วยจิตใจนั่นคือ ดาวโลก ดาวเคราะห์สีน้ำเงินเปล่งประกายด้วยแสงของชีวิตมากมาย ที่ไม่ว่าจะเป็นในจักรวาลไหน ๆ ก็ไม่เคยละทิ้งความสวยงามเสมอ

สถาบันวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ปี 2026

 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ที่กำลังทำงานในห้องแลบเพื่อตรวจดูความเปลี่ยนแปลงและวัตถุที่อยู่นอกอวกาศ เมื่อสำรวจไปเรื่อย ๆ ในระยะห่างประมาณ 3 ล้านปีแสง ก็ได้พบวัตถุประหลาด ทำให้เป็นจุดสนใจของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์อย่างมาก

นักวิทยาศาสตร์ชาย: ท่านครับ ตรวจพบวัตถุประหลาดห่างออกไปประมาณ 3 ล้านปีแสง คาดว่ามันกำลังเคลื่อนตรงมายังโลกครับ

นักวิทยาศาสตร์หญิง: วัตถุประหลาดเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากค่ะท่าน มันอาจเข้าสู่ระบบสุริยะของเราได้

หัวหน้านักวิทยาศาสตร์: จับตาดูวัตถุนั้นให้ดี มันอาจเป็นเพียงอุกกาบาตยักษ์ หากเกิดเหตุฉุกเฉินแจ้งผมทันที

นักวิทยาศาสตร์: รับทราบครับ/ค่ะ

 หลังจากที่ตรวจจับภาพวัตถุชิ้นนั้นไปเรื่อย ๆ ควันสีดำค่อย ๆ ปกคลุมวัตถุก่อนที่มันจะหายไป ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองตกใจเป็นอย่างมาก

นักวิทยาศาสตร์หญิง: อะไรกัน! หายไปเฉยเลย

นักวิทยาศาสตร์ชาย: เดี๋ยวก่อน เหมือนเห็นอะไรบางอย่างแทนนะ

 ไม่นานหลังจากวัตถุประหลาดสีดำหายไป แสงสีทองก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นมาแทน ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างสีแสงที่มองไม่ค่อยชัดครู่หนึ่ง ก่อนที่แสงสว่างสีทองจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้วหายไป หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นก็แปลกใจ จึงย้อนดูภาพนั้นอีกครั้ง

นักวิทยาศาสตร์ชาย: ทำไมรูปร่างมันเหมือนกับ…วงแหวนเมอบิอุสเลย

นักวิทยาศาสตร์หญิง: วงแหวนเมอบิอุสงั้นเหรอ คุณว่ามันจะเกี่ยวกับวัตถุประหลาดนั้นด้วยมั้ย

นักวิทยาศาสตร์ชาย: ยังบอกไม่ได้หรอก แต่ทำไม…เหมือนเคยเห็นหรือคุ้น ๆ มาก่อนนะ

 หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองหันไปทางอื่นโดยไม่ได้สนใจที่หน้าจอ สักพักแสงสีเขียวเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น ภาพตัดไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมือง Tokyo

 Café 3つの水(มิตซุโนะ มิซุ)

 คาเฟ่เปิดใหม่ที่อยู่ภายในตัวห้าง มีผู้คนผ่านไปผ่านมามากมายแต่ไม่มีใครเข้าร้าน ผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนว่าจะเป็นเจ้าของร้านกำลังยืนรอลูกค้าด้วยท่าทางเบื่อหน่าย เธอมองดูไปรอบ ๆ พร้อมถอนหายใจอย่างหนัก และในขณะนั้นเองก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ร้าน เมื่อเจ้าของร้านเห็นก็ทำตาโตดีใจ โบกมือทักทายหญิงสาว

ซายะ: โอเนีย! มาแล้วเหรอ วันนี้มาช้าจังเลยนะ

 หญิงสาวยิ้มทักทายพร้อมกับกล่าวขอโทษ ที่วันนี้เธอมาทำงานสาย

โอเนีย: ขอโทษนะคะคุณซายะ วันนี้ฉันมีธุระน่ะค่ะเลยมาช้า คงจะทำให้คุณซายะลำบากแย่เลย

ซายะ: ตรงกันข้าม วันนี้แทบไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยน่ะสิ ฉันเบื่อจะยืนรอแล้ว เธอช่วยมาเปลี่ยนแทนฉันทีนะ

โอเนีย: ได้เลยค่ะ ฉันจะรับหน้าที่ต่อเอง

 โอเนีย เดินเข้าไปใส่ผ้ากันเปื้อนข้างหลังร้าน ในระหว่างที่เธอสวมผ้ากันเปื้อนอยู่นั้นซายะก็พูดขึ้นมา

ซายะ: ทุกครั้งที่เธอมาอยู่ด้วยแล้วฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย ขอบใจนะ โอเนีย ไว้ถ้าเธออยากได้อะไรก็บอกฉันได้เลย

โอเนีย: แต่คุณซายะเองก็ดูแลฉันเหมือนคนในครอบครัวมาโดยตลอดเลย ฉันไม่อยากลำบากคุณซายะหรอกค่ะ

 ซายะนั่งลงบนเก้าอี้นั่งพักพักหลังจากที่เธอยืนรอลูกค้ามานาน ก่อนที่เธอจะหัวเราะเบา ๆ และพูดต่อ

ซายะ: พูดสะเหมือนเป็นคนห่างคนไกล นี่เธอรู้ตัวมั้ยขนาดฉันย้ายร้านไปมาตั้ง 3 รอบแล้วนะ เธอก็ยังไม่คิดจะทิ้งฉันไปไหนเลย แล้วอยู่ด้วยกันนี่นับได้ 10 ปีแล้วมั้ง ถ้าไม่ให้รู้สึกผูกพันฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

 ระหว่างที่ทั้งสองนั่งคุยกันก็มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ในที่สุดก็มีลูกค้าคนแรกของวันหลังจากรอมานาน ซายะเมื่อเห็นจีงจะรีบลุกไปต้อนรับลูกค้า

ซายะ: ลูกค้านี่ เดี๋ยวฉันไปรับลูกค้าเอง

 แต่ โอเนีย ที่แต่งตัวเสร็จพอดีก็ได้ออกมาบอกใหซายะไปพักผ่อนต่อส่วนเธอจะทำหน้าที่แทนเอง

โอเนีย: ไม่เป็นไรค่ะให้ฉันดูแลจะดีกว่า คุณซายะยืนเฝ้าตั้งนานแล้ว

ซายะ: จะดีเหรอ ถ้างั้นฉันฝากเธอด้วยนะ โอเนีย

โอเนีย: ได้ค่ะ!

 หลังจากซายะเดินเข้าไปพักที่หลังร้าน โอเนีย ก็เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อไปต้อนรับลูกค้าคู่แม่ลูก

โอเนีย: สวัสดีค่ะ จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ

 โอเนีย ยื่นเมนูให้ลูกค้าได้เลือกเครื่องดื่ม

แม่ของเด็กชาย: ฉันเอาเป็นกาแฟร้อนหนึ่งแก้วเพิ่มวิปครีมค่ะ แล้วฮิคาริล่ะจ๊ะ สั่งอะไรดี

 แม่ของเด็กชายได้หยิบเมนูและย่อตัวลงเพื่อให้เด็กน้อยได้เลือก แต่เขาทำท่าอึ้งอึนเลือกไม่ถูก

ฮิคาริ: เอ่อ…ผมไม่รู้จะสั่งอะไรดีคับ

 เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเลือกได้ เธอจึงลุกขึ้นและถามกับ โอเนีย ว่ามีเมนูอะไรแนะนำบ้าง

แม่ของเด็กชาย: ถ้างั้นมีเมนูแนะนำอะไรให้ลูกฉันมั้ยคะ

 โอเนีย สังเกตเห็นตุ๊กตาอุลตร้าแมนในมือของเด็กชาย ทำให้เธอมีไอเดียบางอย่าง

โอเนีย: มีค่ะ เมนูนี้พิเศษเฉพาะสำหรับหนูน้อยเลยค่ะ เชิญนั่งรอที่โต๊ะก่อนนะคะเดี๋ยวฉันจะเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้

 สองแม่ลูกพากันนั่งที่รอเครื่องดื่ม ในระหว่างนั้น โอเนีย รีบทำเครื่องดื่มให้กับแม่ของเด็กชายก่อน หลังจากผ่านไปครู่นึง เครื่องดื่มก็มาเสิร์ฟ กาแฟร้อนพร้อมกับวิปครีมหนึ่งแก้วที่หน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วร้านสร้างความรู้สึกให้อยากดื่มมากขึ้น

โอเนีย: เครื่องดื่มที่สั่งได้แล้วค่ะ กาแฟร้อนหนึ่งแก้วเพิ่มวิปครีมค่ะ

 โอเนีย ค่อย ๆ วางแก้วกาแฟอย่างนุ่มนวลบนโต๊ะ แม่ของเด็กชายมองดูแก้วกาแฟด้วยความพึงพอใจ

แม่ของเด็กชาย: ขอบคุณนะคะ แล้วของลูกฉันจะได้ตอนไหนเหรอคะ

โอเนีย: กรุณารอสักครู่ เดี๋ยวฉันจะรีบทำมาให้เลยค่ะ

 หลังจากนั้น โอเนีย ก็เริ่มทำเครื่องดื่มของหนูน้อย เธอใช้เวลาครู่นึงในการตกแต่งเครื่องดื่ม ผ่านไปไม่นานในที่สุดเครื่องดื่มก็เสร็จ ช็อคโกแลตเย็นพร้อมกับวิปครีมรูปอุลตร้าแมนทาโร่ เหมือนกับตุ๊กตาที่เขาถือพอเครื่องดื่มมาเสิร์ฟทั้งคุณแม่และเด็กชายต่างก็ตกตลึงกับเครื่องดื่ม

ฮิคาริ: สุดยอดไปเลย พี่สาวเก่งจังเลยคับ!

 เด็กชายปรบมือชื่นชมด้วยความน่ารักไร้เดียงสา ทำให้ โอเนีย ยิ้มแก้มปริ

โอเนีย: ขอบใจนะจ้า พี่ตั้งใจทำมาให้เลยนะ ถ้างั้นเชิญคุณลูกค้าทานให้อร่อยนะคะ

แม่ของเด็กชาย: แหม เครื่องดื่มฝีมือสุดยอดไปเลยนะคะ น่าตาน่าทานสุด ๆ แต่สวยขนาดนี้ก็ไม่กล้ากินเลย ถ้างั้นฮิคาริมาถ่ายรูปเก็บไว้ดีกว่า

 คุณแม่ของเด็กชายถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกทั้งคู่ก็ดื่มเครื่องดื่มด้วยกันอย่างมีความสุข และหลังจากนั้นก็ถึงเวลาคิดเงิน

โอเนีย: ทั้งหมด 459 เยนค่ะ

แม่ของเด็กชาย: จริงเหรอคะเนี่ย ถ้าเทียบกับร้านดัง ๆ แล้วเครื่องดื่มที่นี่คุณภาพไม่แพ้กันแลย แถมราคาถูกสุด ๆ

 แม่ของเด็กชายหยิบเงินออกมาจากในกระเป๋าด้วยจำนวนที่เกินราคาเพราะอยากจะชื่นชมในผลงาน แต่เมื่อ โอเนีย เห็นดังนั้นจึงต้องรีบปฏิเสธ

แม่ของเด็กชาย: เงินที่เกินมาไม่ใช่ทิปนะคะฉันอยากให้คุณจริง ๆ ถือว่าขายงานศิลปะ

โอเนีย: ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ร้านของพวกเรายินดีให้บริการเต็มที่อยู่แล้วค่ะ

 สุดท้าย โอเนีย ก็รับเงินเพียงแค่ค่าเครื่องดื่มธรรมดา ในขณะที่เธอกำลังเช็คบิลอยู่นั้นแม่ของเด็กชายได้เกิดความสงสัยขึ้นมา

แม่ของเด็กชาย: จะว่าไปเมนูนี้ได้ไอเดียมายังไงคะ หรือว่าเป็นเมนูในร้านอยู่แล้ว

โอเนีย: ปล่าวหรอกค่ะ ฉันเห็นเด็กคนนี้เขาดูชอบอุลตร้าแมน ก็เลยคิดทำเป็นเมนูพิเศษให้น่ะค่ะ

แม่ของเด็กชาย: ความคิดดีนะคะเนี่ย เรียกลูกค้าเข้าร้านได้เยอะแน่ ๆ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเด็ก จะเอาเข้าเป็นเมนูร้านจริงด้วยมั้ยคะ

โอเนีย: เรื่องนี้ฉันคงต้องปรึกษาเจ้าของร้านก่อนนะคะว่าจะทำดีมั้ย แต่ขอบคุณสำหรับการให้คำแนะนำค่ะ

 ซายะที่อยู่หลังร้านได้ยินก็ยิ้มมุมปากเล็ก ๆ หลังจากที่จบบทสนทนาแล้ว สองแม่ลูกก็ลุกจากโต๊ะ

แม่ของเด็กชาย: คราวหน้าถ้ามีโอกาสมาอีกฉันจะไม่พลาดที่นี่เลย ขอตัวก่อนนะคะ

ฮิคาริ: ไปก่อนนะค้าบพี่สาว

 เขาเดินจูงมือตามคุณแม่ไปและโบกมือลา

โอเนีย: โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ

 โอเนีย โค้งคำนับขอบคุณ ในระหว่างที่ทั้งคู่เดินออกจากร้านหนูน้อยฮิคาริได้ลืมตุ๊กตาเอาไว้ที่เก้าอี้ แต่หลังจากที่สองแม่ลูกออกจากร้านไปแล้วสักพักหนึ่ง โอเนีย พึ่งสังเกตเห็นว่าฮิคาริลืมตุ๊กตาเอาไว้ เธอจึงหยิบตุ๊กตาและรีบออกตามหาพวกเขา

 ทั้งคู่เดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่รู้ตัวว่าลืมตุ๊กตา จังหวะเดียวกันที่ โอเนีย กำลังเดินออกไป สองแม่ลูกก็ได้ข้ามถนนไปก่อนแล้ว แต่เมื่อข้ามถนนไปแล้วเด็กชายก็พึ่งนึกได้

ฮิคาริ: คุณแม่คับผมลืมตุ๊กตา…

แม่ของเด็กชาย: โอ๊ะ! จริงด้วย ถึงว่าทำไมรู้สึกเหมือนลืมอะไร เดี๋ยวแม่พากลับไปเอานะจ๊ะ

 โอเนีย ที่ออกมาแล้วก็มองซ้ายแลขวาตามหาทั้งคู่อยู่ ฮิคาริที่อยู่อีกฝั่งสังเกตเห็น โอเนีย ที่อยู่ตรงข้ามพอดี เขารีบปล่อยมือจากแม่และวิ่งไปหา โอเนีย โดยไม่เห็นว่าเป็นจังหวะเดียวกันที่ไฟสัญญาณข้ามถนนนั้นเป็นสีแดง

แม่ของเด็กชาย: ฮิคาริ! ฮิคาริ! อย่าพึ่งข้ามถนนนะลูก!

 เธอพยายามคว้าตัวลูกเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันเขาได้วิ่งไปที่ถนนแล้ว

ฮิคาริ: ตุ๊กตาของผม ผมจะไปเอาตุ๊กตา

 โอเนีย ที่เห็นก็ตกใจเป็นอย่างมากจึงตะโกนบอกเขา

โอเนีย: อย่าพึ่งข้ามมานะ!

 ฮิคาริที่สนใจเพียงตุ๊กตาก็วิ่งไม่ดูรถดูเรือ ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเด็กชายเพราะอาจเกิดอันตรายที่ร้ายแรงกว่าเดิม และแล้วเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงก็เกิดขึ้นมีรถวิ่งมาด้วยความเร็วมากไม่รู้ถึงเหตุการณ์ข้างหน้า

คนขับรถ: เอ๊ะ ทำไมรถติดกันจัง ไฟก็เขียวแล้วนี่นา…เห้ย!!

โอเนีย ไม่มีทางเลือกรีบวิ่งเข้าไปหาฮิคาริเพื่อจะรีบพาออกมา แต่รถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วมากอยู่ในระยะที่ไม่สามรถหนีพ้น คนขับพยายามเบรกแต่รถก็ไม่ยอมหยุด เธอจึงตัดสินใจเอาตัวของเธอเป็นเกราะกำบังให้เขา

แม่ของเด็กชายยืนร้องไห้มองดูเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ตรงหน้า เสียงของผู้คนที่อึกทึกครึกโครมกับเหตุการณ์ตรงหน้า หลายคนนำโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอ แต่หลังจากที่เธอหลับตาลงจู่ ๆ ในหูของ โอเนีย ก็เงียบไปสักพัก มีเพียงความมืดและเสียงหายใจของเธอ ไม่นานนักเธอค่อย ๆ ลืมตาและหันไปมองรถยนต์ที่หยุดกะทันหันด้วยความน่าอัศจรรย์ ทุกคนต่างปรบมือในความกล้าหาญของ โอเนีย แม่ของเด็กชายรีบวิ่งมาดูด้วยความเป็นห่วง เด็กชายเองก็ร้องไห้เพราะความกลัวและตกใจ

แม่ของเด็กชาย: ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกชายฉันไว้จริง ๆ คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ

โอเนีย: ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ดีใจนะคะที่ปลอดภัย

 คนขับรถรีบลงมาดูว่ามีใครบาดเจ็บหรือไม่ และถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

คนขับรถ: เด็ก ๆ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ ผมขอโทษจริง ๆ ที่ขับรถมาเร็ว

แม่ของเด็กชาย: ไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะ ฉันดูแลเขาไม่ดีเอง ถ้าไม่ได้คุณคนนี้มาช่วยไว้ ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเสียเขาไปตลอดกาลรึเปล่า

 แม่ของเด็กชายพูดด้วยเสียงสะอื้น พร้อมกับอุ้มเด็กชายขึ้นมากอด

แม่ของเด็กชาย: คุณคะ มีอะไรที่ฉันจะตอบแทนคุณได้บ้างมั้ยคะ

โอเนีย: ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ขอแค่ให้เด็กปลอดภัยก็พอ ฉันเอาตุ๊กตาของเขามาคืนค่ะ

 เธอยื่นตุ๊กตาที่อยู่ในมือคืนหนูน้อย เขารับตุ๊กตาจากมือของ โอเนีย พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ เด็กชายนั่งนิ่งคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจยื่นตุ๊กตาคืนให้ โอเนีย

ฮิคาริ: ผมให้พี่สาวคับ

 โอเนีย พยายามปฏิเสธ เธอกุมมือของเด็กชายอย่างนุ่มนวล

โอเนีย: ขอบใจนะแต่พี่รับไว้ไม่ได้หรอก ตุ๊กตาตัวนี้หนูรักมากเลยไม่ใช่เหรอ

ฮิคาริ: พี่สาวช่วยชีวิตผม พี่สาวรับเอาไว้เถอะนะคับ

 โอเนีย รู้สึกลังเลใจที่เขาพยายามยืนกรานจะให้ตุ๊กตากับเธอ

แม่ของเด็กชาย: รับไว้เถอะค่ะ เขาคงอยากให้คุณจริง ๆ เขาคงอยากขอบคุณคุณมาก

โอเนีย: แล้วแบบนี้เขาจะไม่คิดถึงของสำคัญของเขาเหรอคะ

ฮิคาริ: ที่บ้านของผมมีหลายตัวแล้ว พี่สาวเก็บไว้นะคับ

 สุดท้าย โอเนีย ก็รับตุ๊กตาจากเด็กชายเอาไว้ เธอยิ้มตอบเด็กชายด้วยความเอ็นดู หลังจากเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ผู้คนก็ค่อย ๆ แยกย้ายกัน

โอเนีย: ขอบใจมากนะจ๊ะ พี่สาวจะเก็บไว้ในตู้เป็นอย่างดีเลย

โอเนีย ลูบหัวเด็กชายก่อนที่จะเดินกลับไปทำงาน ตัดภาพไปที่คนขับ เขาเองกคิดไม่อยากเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สีหน้าของเขาดูฉงนใจ ราวกับว่ามีพลังวิเศษบางอย่างมาหยุดรถของเขาเอาไว้แบบกะทันหันพอดี เขาขับรถไปต่อและหยุดคิดมาก เพราะสุดท้ายก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ

 เมื่อ โอเนีย กลับถึงร้านก็เห็นว่าซายะไม่อยู่หน้าร้านแถมประตูยังเปิดทิ้งไว้ เธอจึงปิดประตูเข้ามาและเดินตามหาซายะรอบร้าน แต่ก็ไม่เห็น เธอคิดว่าซายะคงมีธุระด่วนจึงต้องรีบออกไปข้างนอก โอเนีย เก็บแก้วของลูกค้าที่อยู่บนโต๊ะไปล้าง หลังจากนั้นก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามา

ซายะ: โอเนีย! ขอบคุณพระเจ้าที่เธอยังปลอดภัย

 ซายะรีบวิ่งมากอด โอเนีย และถอนหายใจอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงหายใจหอบด้วยความเหนื่อย

โอเนีย: คุณซายะ ไปไหนมาคะทำไมหอบขนาดนั้น

ซายะ: เมื่อกี้ฉันนั่งดูโทรศัพท์อยู่ก็มีข่าวสด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมา พอเข้าไปดูก็เห็นว่าเป็นเธอไปช่วยเด็กที่กำลังจะโดนรถชน ฉันนี่ตกใจเกือบเป็นลม ก็เลยรีบวิ่งออกจากร้านไปหาเธอไงเล่า! ทำไมถึงต้องทำให้เป็นห่วงขนาดนี้ด้วยหะ!

 ซายะจับไหล่เธอพร้อมเขย่า ๆ เธอบ่นใส่ โอเนีย ด้วยความเป็นห่วง

โอเนีย: ขอโทษนะค้าที่ทำให้เป็นห่วง ความผิดของฉันที่ไม่บอกให้คุณซายะรู้ก่อน แต่ครั้งนี้มันฉุกเฉินจริง ๆ

ซายะ: คราวหน้าน่ะ ถ้าจะออกไปไหนต้องบอกฉันก่อน ถ้าไม่มีเธอฉันจะจัดการร้านคนเดียวยังไง!

โอเนีย: คุณซายะ ฉันผิดไปแล้วค่ะ คราวหน้าฉันจะไม่ทำให้คุณซายะต้องเป็นห่วงแบบนี้อีกแล้วค่ะ

 ซายะปล่อยมือจากไหล่ของเธอก่อนที่จะใช้น้ำเสียงที่เบาลง

ซายะ: สัญญานะ ว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก

โอเนีย: สัญญาค่ะ

 ทั้งสองคนเกี่ยวก้อยกัน ภาพค่อย ๆ ซูมไปบนท้องฟ้าจนห่างไกลออกไปที่นอกอวกาศ ไม่นานนักก็มีแสงสีทองปรากฏขึ้นมาพร้อมกับวงแหวนเมอบิอุสอีกครั้ง และสิ่งที่บินออกมาก็คือ ULTRAMAN Mebius นั่นเอง เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งมองไปรอบ ๆ ท่าทางของเขาดูลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างมาก เหมือนว่าเขากำลังตามหาอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเองก็มีสัตว์ประหลาดสีดำบินผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว เขารีบตามมันไป ดูเหมือนว่านั่นคือสิ่งที่เขากำลังไล่ล่าอยู่ เจ้าสัตว์ประหลาดพยายามบินล่อเขาไปที่อื่นหวังจะสลัดให้พ้น แต่ความเร็วของ เมบิอุส นั้นเร็วมากทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดโดนไล่ตามเรื่อย ๆ

สัตว์ประหลาดสีดำ: กัดไม่ปล่อยจริง ๆ เลยนะ…หือ

 เจ้าสัตว์ประหลาดเหลือบมองเห็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่อยู่ห่างไกลออกไป

สัตว์ประหลาดสีดำ: หรือว่า…นั่นคือดาวโลกของจักรวาลนี้

มันได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังดาวเคราะห์สีน้ำเงินพร้อมกับ เมบิอุส ไล่ตามมันต่อไปเรื่อย ๆ จนทั้งคู่เข้าใกล้กับกล้องที่อยู่นอกอวกาศสามารถตรวจจับภาพของทั้งคู่ได้ชัดเจนมากขึ้น และได้ส่งข้อมูลไปยังสถาบันดาราศาสตร์

สถาบันวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์หญิง: ท่านคะ มีภาพจากกล้องข้างนอกส่งมาค่ะ ไม่จริงน่า…

 นักวิทยาศาสตร์หญิงเงียบเพราะความตกใจไปชั่วขณะ

หัวหน้านักวิทยาศาสตร์: มีอะไรงั้นเหรอ

 ภาพบนหน้าจอก็ทำให้เขาตกใจเช่นกัน เพราะตรงหน้าเป็นภาพของ เมบิอุส และเจ้าสัตว์ประหลาด แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่ตัวละครที่ถูกสมมุติขึ้นมาจะปรากฏตัวให้เห็นจริง ๆ

นักวิทยาศาสตร์ชาย: ไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ยเนี่ย อุลตร้าแมน…จริง ๆ ใช่มั้ย

นักวิทยาศาสตร์หญิง: เหมือนว่าจะมีเพื่อนมาด้วยนะ

นักวิทยาศาสตร์ชาย: ตรวจสอบการเคลื่อนไหวแล้ว โอกาสที่ทั้งคู่…จะเดินทางมาที่โลกมีโอกาสถึง 60% ครับท่าน

หัวหน้านักวิทยาศาสตร์: ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าใช่ภาพจากกล้องเราจริง ๆ มั้ย

 ไม่นานนักก็ได้ผลสรุปและได้เบาะแสมาอีกเพิ่มเติม

นักวิทยาศาสตร์หญิง: ภาพนี้เป็นภาพจากกล้องของพวกเราจริง ๆ ค่ะ แถมอีกอย่างไม่ใช่ภาพตัดต่อด้วยค่ะ

หัวหน้านักวิทยาศาสตร์: เราต้องเตรียมรับมือไว้ แต่ก็ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกไม่ได้ เรื่องนี้ผมจะจัดการเองพวกคุณทั้งสองเฝ้ามองพวกเขาไว้ให้ดี

นักวิทยาศาสตร์: รับทราบครับ/ค่ะ

 หัวหน้านักวิทยาศาสตร์รีบเดินออกจากห้องแลบด้วยความรีบร้อน ตัดภาพไปในตอนที่ซายะและ โอเนีย กำลังช่วยกันทำความสะอาดร้าน

ซายะ: เฮ้อ~จบไปอีกวัน เหนื่อยชะมัด

 ซายะปล่อยตัวลงนอนบนโซฟาในร้าน พร้อมกับสีหน้าที่เหนื่อยล้า

โอเนีย: คุณซายะคิดถูกนะคะที่ตัดสินใจเลือกเป็นเมนูใหม่ประจำร้าน

ซายะ: ก็ดีใจอยู่หรอกนะที่ลูกค้าเยอะ ติดแค่ว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็ก ๆ นี่สิ กว่าจะทำได้แต่ละเมนูหัวแทบหมุน แต่ขอบใจนะ โอเนีย

 เธอส่งสายตาที่ดูเหนื่อยล้าพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ โอเนีย

โอเนีย: ค่า~ฮ่าฮ่าฮ่า

 หลังจากที่เก็บกวาดร้านเสร็จ โอเนีย ก็ชวนซายะไปกินข้าว

โอเนีย: คุณซายะดูท่าจะเหนื่อยมากเลยนะคะ วันนี้ไปกินข้าวกันมั้ยคะเดี๋ยวฉันจะเลี้ยงเอง

ซายะ: ขอบใจนะ โอเนีย แต่ว่าฉันอยากกลับบ้านไปพักผ่อนน่ะ เอาไว้คราวหน้านะ

โอเนีย: ไม่เป็นไรเลยค่ะถ้าคุณซายะพร้อมตอนไหนก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ

 ทั้งคู่เดินออกมาข้างนอกข้ามถนนไปพร้อมกันแต่ในขณะที่ข้ามถนน โอเนีย มองขึ้นไปบนท้องฟ้าในยามเย็นของญี่ปุ่น ท้องฟ้าสีส้มแกมสีม่วงเป็นประกายสวยงามดั่งความฝัน พอมองไปเรื่อย ๆ เธอสังเกตเห็นแสงวิบวับเล็ก ๆ ดวงหนึ่งอยู่บนฟ้า เธอหยุดเดินและยืนจ้องมองแสงสว่างดวงนั้น

โอเนีย: สวยจัง…

 เมื่อลองมองดูดี ๆ แสงสว่างดวงนั้น ไม่ใช่แค่เพียงส่องประกายอย่างเดียว แต่ยังค่อย ๆ ขยับทีละน้อย อาจะเป็นจานดาวเทียมหรืออาจจะเป็น…

ซายะ: โอเนีย…โอเนีย…โอเนีย!

 เสียงซายะเรียกทำให้เหมือนหลุดออกจากภวังค์ เธอจึงสะดุ้งตกใจเล็กน้อย

โอเนีย: ค…คะ

ซายะ: เธอเหม่อนะ เป็นอะไรรึเปล่า แต่จะว่าไปวันนี้งานเธอก็หนักใช่เล่น ฉันว่าเธอกลับไปพักผ่อนดีกว่า

โอเนีย: สงสัยฉันคงจะเหนื่อยจริง ๆ

ซายะ: รีบข้ามถนนดีกว่า เดี๋ยวไฟจะแดงก่อน

 โอเนีย รีบวิ่งตามซายะข้ามถนนอย่างรวดเร็ว เมื่อข้ามถนนมาแล้วทั้งคู่ก็โบกมือลาและแยกย้ายกันกลับบ้าน โอเนีย เดินไปที่สถานีรถประจำทางของเธอ ในระหว่างทางเธอก็มองดูแสงสว่างวิบวับทั่วเมือง ฟังเสียงเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายที่กำลังเดิน จนกระทั่งเธอเดินมาถึงอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งเธอหยุดยืนมองแต่ จู่ ๆ น้ำตาเธอก็ไหลออกมาไม่รู้ตัว

โอเนีย: คิดถึงจัง…

 เธอเอามือปาดน้ำตาหยดเดียวที่แก้มและเดินไปต่อจนไปถึงป้ายรอรถประจำทางและนั่งรอ ไม่นานนักรถประจำทางก็มาถึง เธอรขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้านของเธอ ในระหว่างการเดินทางด้วยความเหนื่อยล้าเธอได้ผล็อยหลับไปและได้เข้าสู่โลกของความฝัน รอบตัวของเธอนั้นมืดไปหมด จนกระทั่งมีเสียงของใครบางคนพูดขึ้นมา

"ฉันจะเป็นคนเติมเต็มความฝันของเธอเอง" เสียงพูดนั้นเต็มไปด้วยความหวัง "คุณเป็นใคร" เธอถามด้วยความสงสัย "ฉันคือแสงสว่างของเธอยังไงล่ะ" หลังพูดจบแสงสว่างสีทองได้ปรากฏขึ้นในความฝัน มันสว่างจ้าจนทำให้เธอตื่นจากความฝัน เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามเย็นอีกรอบและเห็นแสงระยิบระยับดวงเดิม หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงสถานีที่เธอลง แม้ว่าจะเป็นเพียงความฝันสั้น ๆ แต่เสียงพูดนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของเธอ

โอเนีย: เสียงนั้น…อบอุ่นจังเลย

 โอเนีย เดินไปต่อหลังจากลงเพื่อกลับบ้านที่อยู่ห่างจากป้ายประมาณ 148 เมตร เป็นเนินสูงข้างหลังเป็นภูเขาสวยงาม บ้านของเธอนั้นเป็นบ้านหลังเดี่ยวและเป็นที่ไม่ค่อยมีคนไปสร้างบ้านอยู่อาศัย แต่ห่างไม่ไกลจากบ้านเธอนัก ในทุก ๆ เย็นหลังจาก โอเนีย กลับมาจากการทำงาน จะมีหญิงชรากับหลานสาว(?)อีก 2 คนตามมาด้วยตลอด พวกเขาชอบมานั่งเล่นในทุก ๆ เย็น ทำให้ โอเนีย ไม่ค่อยเหงามาก พวกเขาอาจจอยู่หมู่บ้านใกล้ ๆ แถวนี้

โอเนีย: วันนี้คุณยายก็มานั่งเล่นอีกตามเคย เราเองก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสคุยกับคุณยายเลย ต้องหาโอกาสบ้างหน่อยแล้ว

 เธอเปิดประตูเข้ามาและเปิดไฟในบ้าน สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากเข้าบ้านเธอเดินไปที่ตู้กระจกที่เธอนั้นเอาไว้สะสมตัวการ์ตูนต่าง ๆ ทั้งตัวละครจากเกมส์หรือจากหนัง แต่ส่วนใหญ่ที่เธอมีไว้ให้โดยเฉพาะก็คือ ตู้เก็บสะสมตัวละครอุลตร้าแมนที่เป็นตัวละครโปรดในวัยเด็กของเธอ เธอเปิดตู้กระจกและหยิบตุ๊กตาที่หนูน้อยฮิคาริให้เธอมาเก็บไว้อย่างดี

โอเนีย: น่ารักจัง

 เธอมองดูตัวละครที่เธอสะสมเอาไว้และยิ้มให้ หลังจากนั้น โอเนีย ก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อจะทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับอาบน้ำ ในระหว่างที่เธอกำลังจะเปลี่ยนชุดเธอได้เหลือบเห็นกล่องบางอย่างใต้โต๊ะ ด้วยความสงสัยเธอจึงหยิบกล่องนั้นขึ้นมา เมื่อเปิดดูพบว่าเป็นสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยว

โอเนีย: มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย

 เธอลองสวมสร้อยคอและส่องดูในกระจก เธอจ้องมองดูความสวยงามของสร้อยเส้นนั้นและดูจะชอบมันมาก

โอเนีย: สวยจัง…

 เธอถอดสร้อยนั้นออกและแขวนเอาไว้หน้ากระจก หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและทำการอาบน้ำเตรียมตัวนอนพักหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน

 ในช่วงกลางดึกในขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่นั้น เธอก็เหมือนจะฝันถึงอะไรบางอย่าง เสียงของคนสองคนที่กำลังคุยกัน โดยที่น้ำเสียงของฝ่ายชายดูอ้อนวอน "อย่านะ…อย่าไปนะ…" ส่วนฝ่ายหญิงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความเศร้าแต่ผสมไปด้วยความอบอุ่น "ขอบคุณ ที่ดูแลฉันมาตลอดนะ" หลังจากเสียงนั้นเงียบไป ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก

โอเนีย: เราฝันอะไรแปลก ๆ อีกแล้ว…

 เธอพยายามข่มตานอนเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในวันพรุ่งนี้แต่เธอก็นอนไม่หลับ เธอมองไปที่พระจันทร์ในค่ำคืนที่ส่องลงมาห้องของเธอผ่านหน้าต่าง เธอหลับตาลงและพยายามไม่คิดมากกับเรื่องที่ฝันจนกระทั่งหลับไป

 ฟ้ายามสางแสงอาทิตย์ค่อย ๆ ส่องเข้ามาที่ห้องนอนของเธอ ปลุกให้เธอตื่น โอเนีย นั่งยืดตัวก่อนที่จะลุกออกจากเตียง กิจวัตรยามเช้าของเธอได้เริ่มขึ้นแล้ว วันนี้เธอตั้งใจว่าจะไปถึงร้านให้เร็วกว่าปกติ เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะต้องเสร็จกระชับรวดเร็ว เธอยืนคิดนึกถึงเรื่องเมื่อวานก่อนที่จะยิ้ม

โอเนีย: ได้เวลาใช้งานอีกแล้วสินะ!

เธอใช้พลังเวทมนตร์เริ่มทำทุกอย่างในยามเช้า เพียงแค่เธอสะบัดมือครั้งเดียว เสียงดังกุก ๆ กัก ๆ ก็ดังขึ้นในห้องครัว กระทะที่ลอยมาพร้อมกับไข่และเครื่องปรุง กระทะนั้นตั้งลงบนเจาและจุดไฟอ่อน ๆ พร้อมค่อย ๆ ราดน้ำมันลง หลังจากนั้นตอกไข่ลงกระทะ

ในขณะที่ปรุงอาหารเช้า โอเนีย จะอาบน้ำไปด้วย เธอมองดูนาฬิกาเพื่อดูเวลาที่รถประจำทางจะมาถึง น้ำในอ่างเตรียมพร้อมไว้สำหรับเธอเรียบร้อย เธอเปลี่ยนชุดเพื่ออาบน้ำชุดนอนที่เธอถอดทิ้งไว้ก็ลอยไปที่ตะกร้า ใช้เวลาไม่นานเธอก็อาบน้ำเสร็จ หลังจากที่ทำกิจวัตรในห้องน้ำเสร็จเธอก็พร้อมที่จะทานอาหารเช้า ทั้งจานช้อนส้อม ค่อย ๆ ลอยมาตรงหน้าของเธอพร้อมกับไข่ดาวและขนมปังปิ้งที่ปรุงไว้ก่อนแล้ว เธอทานอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ จานช้อนส้อมก็ลอยไปที่อ่างล้างจานและล้างตัวมันเองให้สะอาด เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอก็เตรียมตัวจออกไปรอรถข้างนอก แต่ก่อนที่เธอจะออกไปเธอได้แวะดูตู้ตุ๊กตาสะสมตัวละครของเธอ เธอยิ้มให้ตุ๊กตาก่อนที่จะออกจากบ้าน เธอล็อคประตูและไปรอที่ป้ายรถประจำทาง

ในขณะที่มีเวลาเหลือ เธอนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอะไรรอ เมื่อเลื่อนไปเรื่อย ๆ ก็มีข่าวขึ้นมา พอกดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นข่าวจากสถาบันดาราศาสตร์ "เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ ทางสถาบันดาราศาสตร์แห่งโตเกียว ได้ออกมาแถลงการถึงวัตถุประหลาดที่ค้นพบล่าสุด" เธอเลื่อนดูเรื่อย ๆ ก็ได้พบภาพที่ทางสถาบันได้ส่งมา "ภาพจากกล้องจานดาวเทียมที่อยู่ห่างออกไป" ก่อนที่เธอจะได้อ่านต่อ รถประจำทางก็มาพอดี เธอขึ้นรถและออกเดินทางเข้าในเมือง เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและปรากฎว่าก็ยังเห็นแสงดวงเดิมแต่ครั้งนี้มันเข้ามาใกล้มากขึ้น

 โอเนีย ที่พึ่งมาถึงร้านก็เห็นซายะกำลังทำความสะอาดหน้าร้านอยู่ ทั้งคู่ทักทายกันยามเช้า

ซายะ: อรุณสวัสดิ์ วันนี้มาเช้าจังเลยนะ

โอเนีย: อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณซายะ พอดีวันนี้ฉันไม่มีธุระก็เลยรีบมาน่ะค่ะ คุณซายะทานข้าวมารึยังคะ

ซายะ: ฉันกินมาเรียบร้อยแล้วน่ะ

โอเนีย: ถ้างั้นเรามาเปิดร้านกันเลยดีมั้ยคะ

ซายะ: อืมก็ดีนะ พอเปิดร้านแล้วเธอช่วยชงกาแฟให้ฉันสักแก้วทีสิ

โอเนีย: ได้เลยค่ะ

 ทั้งคู่ช่วยกันจัดร้านก่อนเวลาเปิด และเริ่มต้นวันที่ดี ด้วยการชงกาแฟเพื่ออุ่นเครื่อง เสียงของเครื่องชงกาแฟทำงานพร้อมกับกลิ่นฟุ้งหอมจากกาแฟที่สกัดออกมาทำให้รู้สึกผ่อนคลาย โอเนีย เอาแก้วเล็ก ๆ มาใส่กาแฟและเสิร์ฟให้ซายะ

ซายะ: เช้า ๆ แบบนี้ต้องกาแฟฝีมือเธอเท่านั้น

 ซายะดมกลิ่นของกาแฟฝีมือ โอเนีย ด้วยท่าทางที่พอใจ

โอเนีย: ขอบคุณนะคะคุณซายะ

 ในขณะที่ซายะค่อย ๆ นั่งจิบกาแฟเธอก็ถามอะไรบางอย่างกับ โอเนีย

ซายะ: โอเนีย ฉันถามหน่อยสิ

โอเนีย: คะคุณซายะ

ซายะ: ทำไมเธอถึงกล้าเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น ตอนที่ช่วยเด็กคนนั้นน่ะ

โอเนีย: ตอนนั้นมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วน่ะค่ะ สัญชาติญาณแรกที่บอกกับฉันก็คือ ยังไงก็ห้ามให้เด็กเป็นอันตรายเด็ดขาดไม่ว่าฉันจะต้องเจ็บตัวก็ตาม

ซายะ: เธอนี่กล้าหาญมากถ้าเป็นฉันนะคงทำอะไรไม่ถูก แต่เอ้…หรือว่าจะเป็นเพราะแรงบันดาลใจกับหนังอุลตร้าแมนที่เธอชอบดูตอนเด็กนะ

 ซายะพูดกระเซ้าหยอกล้อ โอเนีย ทำให้เธอรู้สึกอายเล็กน้อย

โอเนีย: คุณซายะ อย่าเอาเรื่องเก่ามาพูดสิคะ!

ซายะ: ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเถอะ ๆ แต่สมมุติว่า ถ้าเธอมีพลังวิเศษที่สามารถปกป้องคนทั้งโลกได้เหมือนพวกเขาเธอจะยอมสละตัวเองเพื่อชาวโลกแบบนั้นมั้ย

 โอเนีย เงียบสักพักกับคำถามที่ซายะถามเธอ และมองหน้าซายะด้วยความสงสัยว่าเหตุใดเธอจึงถามเช่นนี้ แต่สุดท้ายเธอได้ตอบด้วยความมั่นใจว่า

โอเนีย: แน่นอนอยู่แล้วค่ะ โลกก็บ้านฉัน ต่อให้แลกด้วยชีวิตฉันก็ยอมค่ะ

 ซายะพยักหัวให้กับคำตอบของเธอพร้อมกับยิ้มเล็ก ๆ ก่อนที่ความรู้สึกอึดอัดเมื่อครู่จะค่อย ๆ หายไป

ซายะ: เธอนี่สุดยอดจริง ๆ ถ้าเกิดว่าเกิดอะไรขึ้นฉันก็คงไม่ต้องกลัวแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

 โอเนีย แอบเขินหน้าแดงเหมือนพึ่งรู้สึกตัวว่าที่พูดไปอาจดูน่าอายไปหน่อย

โอเนีย: เอ่อ…ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้น่าอายไปหน่อยมั้ยคะ

ซายะ: ฮ่าฮ่า แหมไม่ต้องคิดมากหรอก—เอาเป็นว่าตั้งใจทำงานนะ ซุปเปอร์ โอเนีย ของฉัน!

 โอเนีย เขินหน้าแดงเข้าไปใหญ่ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก

โอเนีย: คุณซายะอย่าเรียกฉันแบบนั้นเถอะนะคะฉันขอร้อง

ซายะ: ฮ่าฮ่า ก็แค่พูดเล่นน่ะ ไม่คิดว่าจะทำให้เธอเขินขนาดนี้ เธอช่วยเปิดโทรทัศน์ดูข่าวเช้าหน่อยสิ

โอเนีย: ได้ค่ะ…

 โอเนีย พูดเสียงสั่นก่อนตั้งสติมาเหมือนเดิม "ยินดีต้อนรับท่านผู้ชมเข้าสู่ข่าวช่วงเช้าค่ะ ไม่นานมานี้ทางสถาบันดาราศาสตร์แห่งกรุงโตเกียวได้นำเสนอภาพของวัตถุประหลาดซึ่งมีลักษณะเป็นแสงสีทองและสีดำอยู่คู่กันค่ะ ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าคืออะไร แต่ทางสถาบันได้คาดการไว้ว่าอาจเป็น…*สัญญาณขาดหาย*…ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยนะคะ ขอจบข่าวเช้าสำหรับวันนี้ค่ะ"

ซายะ: อ้าวยังไม่ได้รู้เรื่องเลย เป็นที่โทรทัศน์หรือเป็นที่สัญญาณเนี่ย

โอเนีย: แสงสีทองที่เห็นในข่าวเมื่อกี้ มันอันเดียวกันกับที่ฉันเห็นใน…

ซายะ: เห็นในไหนเหรอ

โอเนีย: อ…อ๋อ ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่คุ้นเฉย ๆ

ซายะ: คุ้นแบบไหนเหรอ สีทองแบบนี้มันก็มีให้เห็นเห็นทั่วไปนะ

โอเนีย: สงสัยฉันคิดไปเอง…

 ในระหว่างที่คุยกัน ลูกค้าคนแรกของร้านก็เปิดประตูเข้ามา ทั้งคู่หยุดคุยกันพร้อมรีบไปต้อนรับลูกค้า

ภาพตัดออกไปที่นอกอวกาศ เมบิอุส และเจ้าสัตว์ประหลาดเข้าใกล้โลกมากขึ้นเรื่อย ๆ เมบิอุส พยายามหยุดเจ้าสัตว์ประหลาด เขาได้ใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งไปดักข้างหน้าของมัน เจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่ทันเห็นก็พุ่งชนใส่เขาอย่างจัง ถึงแม้ว่าจะทำให้ เมบิอุส บาดเจ็บเล็กน้อยแต่สุดท้ายเขาก็หยุดมันเอาไว้ได้

 เขาล็อคคอเจ้าสัตว์ประหลาดเอาไว้ พร้อมบังคับให้มันตอบ

เมบิอุส: แกข้ามจักรวาลไปมา คิดจะทำอะไรกันแน่

 เจ้าสัตว์ประหลาดไม่ยอมตอบพร้อมกับพยายามต้านแรงของ เมบิอุส แต่เขากลับเค้นแรงมากขึ้นเพื่อบังคับให้มันตอบ

สัตว์ประหลาดสีดำ: บอกให้โง่น่ะเหรอ เดี๋ยวแกได้รู้เองว่าฉันจะทำอะไร

 เจ้าสัตว์ประหลาดรวบรวมพลังสีดำในตัวจนแผ่เป็นรังสีออกมาและปล่อยมันใส่ เมบิอุส คลื่นพลังมหาศาลกระจายไปทั่ว ทำให้ เมบิอุส กระเด็นออกไปไกลและหมดสติไปชั่วขณะ เสียงระเบิดดังกึกก้องแพร่กระจายไปทั่วจนมาถึงโลก คลื่นพลังที่รุนแรงแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ยังสามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งที่มันผ่านได้ จนทำให้ไฟฟ้าทั่วโลกไม่ค่อยเสถียรและบางจุดก็เกิดเป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก

 บ้านเมืองและอาคารต่าง ๆ สั่นคลอนเล็กน้อย ชาวเมืองโตเกียวต่างตื่นตระหนกจากเหตุการณ์นี้ รวมถึงซายะและ โอเนีย ที่กำลังอยู่ในร้านก็ต้องรีบหลบใต้โต๊ะเนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีใครรู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่นอกโลก

 ไม่เพียงแค่นั้นยังมีเสียงประหลาดผ่านมาพร้อมกับแผ่นดินไหวเป็นคลื่น ๆ หลังจากที่เหตุการณ์สงบลงทั้งคู่ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะเพื่อดูว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่

ซายะ: เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ…

โอเนีย: มีเสียงประหลาด ๆ ด้วย

 ตัดภาพกลับไปที่นอกอวกาศ เมบิอุส ตอนนี้ยังไม่ได้สติกลลับคืนมา ทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดได้โอกาสบินไปที่โลกอย่างง่ายดาย

สัตว์ประหลาดสีดำ: ดูท่าจักรวาลนี้จะได้เยอะเป็นพิเศษ

 แต่ก่อนที่มันจะได้มุ่งไปยังดาวโลก มันได้แวะไปที่ดาวอื่น ๆ ก่อน และบางอย่างที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อมันได้เข้าใกล้ดาวเคราะห์ดวงนั้น ไม่นานนักดาวเคราะห์ก็เริ่มมีสีที่ซีดลง จนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิด มันได้ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ กับดาวเคราะห์ดวงอื่น และเป้าหมายสุดท้ายของมันก็คือ ดาวโลก

 ไม่เพียงแค่นั้นหลังจากที่ดาวเคราะห์กลายเป็นสีดำ รังสีความมืดในตัวของเจ้าสัตว์ประหลาดก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดาวเคราะห์บริเวณนั้นค่อย ๆ กลายเป็นสีดำตามลำดับ และยิ่งรังสีความมืดแผ่กระจายมากเท่าไหร่ดาวเคราะห์ที่เพียงแค่มันเข้าไปใกล้เล็กน้อยก็กลับกลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว

สัตว์ประหลาดสีดำ: ข้าคงจะเก็บไว้มากเกินไปหน่อย ต้องส่งให้ท่านผู้นั้นก่อนสะแล้ว

 มันค่อย ๆ รวบรวมพลังสีดำให้เป็นก้อนกลม ๆ และเมื่อพลังนั้นออกมาจากตัวของมันหมดแล้ว มันได้ปล่อยพลังสีดำหายเข้าไปในมิติมืดแห่งหนึ่งก่อนที่มันจะมุ่งตรงไปต่อที่โลก

 ตัดภาพมาที่ท้องฟ้าที่ตอนนี้แจ่มใสก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนดูครึ้มลง ต้นไม้บางต้นค่อย ๆ เหี่ยวเฉาไม่อาจยืนยงต่อไปได้อย่างน่าประหลาดใจ แม้จะถูกรักษาดีเพียงใดพลังความมืดที่อยู่ห่างไกลตอนนี้ใกล้เข้ามา ลมเพพัดพากลิ่นของความเศร้าหมองดั่งความมืดมิดที่ไม่มีแสงสว่าง

โอเนีย: เอ๊ะ ฝนจะตกรึเปล่าคะ ทำไมท้องฟ้าดูมืด ๆ

ซายะ: พยากรณ์อากาศก็ไม่เห็นบอกนะว่าวันนี้จะฝนตก

 หลังจากนั้นไฟก็ค่อย ๆ กระพริบเหมือนไฟกำลังตก

ซายะ: อะไรอีกล่ะเนี่ย

โอเนีย: แบบนี่น่าจะไม่ปกติแล้ว ฉันจะออกไปดูข้างนอกก่อนนะคะ คุณซายะจะออกไปด้วยมั้ยคะ

ซายะ: ฉันไปไม่หรอก เธอรีบไปเถอะแล้วรีบกลับมานะ

 โอเนีย วิ่งออกจากร้านเพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก เมื่อเธอได้เห็นก็ทำหน้าตาตกใจ ท้องฟ้านั้นมืดครึ้มราวกับว่าจะมีพายุขนาดใหญ่โถมเข้ามา แต่ครั้งนี้ไม่ปกติเพราะท้องฟ้ามืดจนน่ากลัว ไฟฟ้าหลายแห่งกระพริบอย่างริหรี่และดับลงไปตามพื้นที่ ลมพายุพัดมาอย่างรุนแรงซัดฝุ่นเข้าตาเธอ ทันใดนั้นก็มีเสียงประหลาดอยู่บนท้องฟ้า เสียงเตือนภัยจากลำโพงดังก้องไปทั่วเมือง ทำให้ผู้คนเริ่มแตกตื่น

 เธอหลี่ตาและพยายามมองขึ้นไป เสียงกรีดร้องของผู้คนดังไปทั่ว บนท้องฟ้าได้ปรากฏร่างสีดำยักษ์ขนาดใหญ่ดูน่ากลัว เจ้าสัตว์ประหลาดสีดำมันได้เข้ามาที่โลกแล้ว เธอตาโตตกใจและกำลังจะวิ่งเข้าไปบอกซายะให้รีบออกมา แต่ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างพากันแตกตื่นวิ่งหนีเอาชีวิตรอด จนเธอไม่สามารถผ่านดงผู้คนมากมายเข้าไปได้ง่าย ๆ

 หลังจากที่ฝีเท้าของเจ้าสัตว์ประหลาดได้เหยียบลงบนพื้นโลก เสียงดังกัมปนาททั่วฟ้า สร้างความหวาดกลัวและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง โลกยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในประวัติกาล

สัตว์ประหลาดสีดำ: ไม่ว่าจะเป็นในจักรวาลไหน ๆ พวกมนุษย์ทั้งหลายก็ดูน่าสมเพศเช่นเคย

 เจ้าสัตว์ประหลาดเมื่อเทียบกับตึกแล้ว มันมีขนาดใหญ่เท่ากับตึก 20 ชั้น ทุกครั้งที่มันเดิน พื้นก็สั่นสะเทือนสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่รอบ ๆ แผนดินไหวอย่างรุนแรงจนทำให้ตึกบางแห่งเริ่มถล่มลงมา โอเนีย รีบพยายามวิ่งไปหาซายะข้างใน เพื่อพาเธอออกมา ตอนนี้เธอเข้าไปในตัวห้างได้แล้ว กำลังจะเข้าไปในร้าน แต่แผ่นดินนั้นสั่นไหวรุนแรงเกินไปจนสุดท้าย…

 ภาพตัดเป็นสีดำ รอบตัวของเธอนั้นเงียบสงัดแม้กระทั่งเสียงในใจของตนเอง เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่าตัวเองนั้นปลอดภัยดีเพราะมีเกราะสีฟ้าอยู่รอบตัวเธอป้องกันเธอเอาไว้อยู่ สุดท้ายตึกสูง 3 ชั้นก็ถล่มลงมาอย่างไม่ใยดี รอบข้างนั้นมีผู้คนที่ไม่สามารถออกไปได้ทัน ทำให้หัวใจของเธอตอนนี้เต้นรัว ๆ ด้วยความกลัวแต่เธอไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่ร้านด้วยความกระวนกระวาย

 เมื่อไปถึงหน้าร้านทำให้เธอใจสลายเพราะซากตึกจำนวนมากถล่มทับหน้าร้าน เธอใช้พลังของเธอเคลื่อนย้ายวัตถุที่บังทางเข้าและรีบเข้าไปข้างในทันที ตรงหน้าของเธอตอนนี้มีเพียงซากประหรักหักพังที่ถล่มลงมาตั้งแต่ชั้นบนลงมาข้างล่าง ยังโชคดีที่ไม่ใช่ทั้งตึก โอเนีย รีบเรียกซายะทันทีเพราะแอบหวังไว้ในใจว่าซายะต้องปลอดภัย

โอเนีย: คุณซายะคะ! คุณซายะ!

 เธอเรียกซายะซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีเสียงตอบกลับ จนเธอสังเกตเห็นมือของซายะอยู่ใต้ซากตึก เธอรีบใช้พลังยกซากตึกที่ทับซายะออกแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาซายะด้วยน้ำตาที่ไหลมาไม่หยุด

โอเนีย: คุณซายะ…อย่าทิ้งฉันไปสิคะ…

 เธอพูดกับซายะที่ตอนนี้สภาพดูไม่ดี ซายะที่ยังพอมีสติเหลืออยู่ก็ใช้แรงที่เธอมีจับแก้มของ โอเนีย เบา ๆ

ซายะ: อ…โอเนีย เธอยัง…ปลอดภัยดีใช่มั้ย…

 เสียงของซายะพูดอย่างกระเส่าไม่มีแรง

โอเนีย: คุณซายะ แข็งใจเอาไว้นะคะฉันจะรีบพาคุณซายะไปโรงพยาบาลนะคะ

 โอเนีย พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น เธอพยายามอุ้มซายะหวังว่าจะรักษาให้ปลอดภัย

ซายะ: ไม่ต้องหรอก ฉันไม่อยาก…ลำบากเธอน่ะ ขอแค่ให้เธอปลอดภัยฉันก็ดีใจแล้ว…

 ซายะพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา ทำให้ โอเนีย ร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม

โอเนีย: คุณซายะ…ไหนเราสัญญากันแล้วไงคะว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน

ซายะ: รอบนี้ฉันผิดสัญญาสะเอง…ฉันหนีออกไปไม่ทันน่ะ ถ้าเป็นเธอคงให้อภัยฉันแน่นอน ฮ่า…ฮ่า

ซายะฝืนหัวเราะออกมาพร้อมกับน้ำเสียงที่เบาแผ่ว

ซายะ: โอเนีย ฉันขอพูดอะไรกับเธอหน่อยสิ

โอเนีย: คะ…

ซายะ: หลายครั้งในชีวิตฉันทำอะไรมาผิดพลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยคิดผิดเลยก็คือ…การที่ฉันมีเธอมาอยู่ด้วยไง…

 โอเนีย กุมมือของซายะไว้ เธอรู้สึกทราบซึ้งกับคำพูดของซายะเป็นที่สุด

โอเนีย: ฉันก็ดีใจที่ได้มาอยู่กับคุณซายะเหมือนกันค่ะ…

ซายะ: โอเนีย เธอสัญญากับฉันได้มั้ย…

โอเนีย: ได้ทุกอย่างค่ะ คุณซายะอยากให้ฉันสัญญาอะไรคะ…

ซายะ: เธอจะต้อง…เข้มแข็งต่อไปโดยไม่มีฉัน เธอจะต้องเติบโตเรื่อย ๆ…และถ้าหากปาฏิหาริย์มีจริง ฉันก็ขอให้เราได้เจอกันอีกนะ…น้องสาวของฉัน

 เธอยิ้มให้ โอเนีย ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี บาดแผลบนร่างกายของเธอเต็มไปหมด

โอเนีย: ฉันสัญญาค่ะ…สักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีกแน่นอนค่ะ

 โอเนีย ยิ้มทั้งน้ำตาเธอไม่สามารถปกปิดความเศร้าเอาไว้ได้ ซายะจึงเอามืดปาดน้ำตาให้ โอเนีย ด้วยความนุ่มนวล

ซายะ: อย่าขี้แยสิเธอจะทำให้ฉันเป็นห่วงนะ…10 ปีมานี้เธอไม่เคยทิ้งฉันไปไหนจริง ๆ แม้กระทั่งตอนนี้…ขอบคุณนะที่อยู่กับฉันมาตลอด

โอเนีย: คุณซายะ…

 แสงจากท้องฟ้าส่องลงมาพอดี หลังจากนั้นซายะก็หลับตาลง โอเนีย ร้องไห้พร้อมกุมมือของซายะเอาไว้แน่น ภาพในอดีตหวนคืนในความทรงจำของเธอ "แล้วพ่อกับแม่เธอล่ะ?" "พ่อแม่...ไม่มีค่ะ" "ถ้างั้นเธอ…มาอยู่กับฉันก็ได้นะ" "จริงเหรอคะ! ขอบคุณนะคะคุณ…" "เรียกฉันว่าซายะนะ ถือว่าฉันเป็นพี่สาวของเธอ" "ค่ะ! คุณซายะ"

 "โอเนีย…เธอว่าร้านนี้มันจะได้ไปต่อมั้ย หรือว่าฉันคงต้องหยุดแค่นี้" "ความฝันนี้คุณซายะตั้งใจทำมันตั้งแต่ต้นเลยนะคะ ถ้าคุณซายะยอมแพ้ตอนนี้ทุกอย่างที่ทำจะไม่มีความหมายเลยนะคะ" "ก็จริง! สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร! ขอบใจนะ โอเนีย"

 โอเนีย ถอดผ้ากันเปื้อนที่เธอสวมอยู่วางไว้ข้าง ๆ ซายะ ก่อนที่เธอจะหยุดร้องไห้

โอเนีย: ขอบคุณนะคะ…พี่

 เสียงจากข้างนอกดังขึ้นอีกครั้ง เสียงของเครื่องบินรบและทหาร พยายามต่อกรกับเจ้าสัตว์ประหลาด โอเนีย เช็ดน้ำตาและลุกขึ้นอยากเข้มแข็ง เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้กลับมามืดครึ้มพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น ในตอนแรกเธอยังกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ในที่สุดเธอตัดสินใจได้ในทันทีว่าเธอจะสู้ ไม่เพียงแค่อยากปกป้องผู้คน แต่อยากปกป้อง "อนาคต" ของผู้คนอีกด้วย

 โอเนีย เดินออกไปข้างนอกและถอดยางมัดผมของเธอ ทันทีที่ผมของเธอสยายพลังสีฟ้าก็ค่อย ๆ ส่องสว่างรอบกายเธอ เปลี่ยนจากชุดเดิมของให้กลายเป็นชุดใหม่ที่เหมาะกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทมนตร์ของเธอ ตอนนี้เธอไม่สามารถถอยหลังกลับได้อีกแล้ว เธอมองขึ้นไปบนฟ้ามืด เพราะตอนนี้สิ่งที่เธอตั้งใจจะทำคือการบิน ถึงแม้ว่าเธอจะครอบครองพลังไว้ค่อนข้างนานแต่สิ่งที่เธอยังไม่เคยลองเลยก็คือการบิน

 เธอตั้งสติและรวบรวมสมาธิหลังจากนั้นก็มีคำพูดของใครบางคนผุดขึ้นมาในหัวของเธอ "จงสยายปีกและบินอย่างอิสระ" พลังสีฟ้าสองดวงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนมือของเธอ เสียงใสดั่งแก้วส่องสว่างอย่างสวยงาม พลังสีฟ้างานปนขาวสผมกันให้ความบริสุทธิ์ ตัวเธอค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นจากพื้น

 ครั้งแรกในชีวิตของเธอที่สามารถบินได้ ทำให้เธอตกใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ค่อย ๆ ควบคุมมันได้ จนเธอสามารถบินได้อย่างอสระและรีบมุ่งหน้าไปยังเจ้าสัตว์ประหลาด

 ตัดภาพไปทางเจ้าสัตว์ประหลาดที่ตอนนี้มันบุกอาละวาดไปทั่วเมืองมันเอามือกวาดบ้านเรือนไปทั่วทำให้ทุกอย่างพังเสียหาย ผู้คนมากมายรีบวิ่งหนีตายอพยพไปที่อื่น แต่ผู้คนส่วนหนึ่งที่หนีไม่ทันตอนนี้ก็ต้องตกอยู่ในความกลัวและความหวาดระแวง เจ้าสัตว์ประหลาดมุ่งหน้าไปที่ตึกใหญ่หวังจะถล่มตึกลงมา ในขณะที่มันจะเอามือกวาดก็มีลูกไฟสีฟ้ายิงมาใส่มันเข้าเต็ม ๆ

สัตว์ประหลาดสีดำ: ใครบังอาจกล้าดีนัก!

เมื่อมองไปตามที่มาของลูกไฟก็พบเป็นหญิงสาวที่ลอยอยู่กลางอากาศ พร้อมกับพลังเวทย์สีฟ้าที่อยู่ในมือของเธอ เมื่อเห็นว่ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ ทำให้มันบาดเจ็บได้ความหยิ่งทะนงตนในตัวจึงประทุด้วยความโกรธเกรี้ยว

สัตว์ประหลาดสีดำ: อวดเก่งดีนักนะ!

 เจ้าสัตว์ประหลาดปล่อยคลื่นพลังสีดำใส่ โอเนีย ด้วยประสบการณ์และความเร็วของการโจมตีกลับทำให้เธอหลบไม่ทัน ตัวของเธอที่โดนมันโจมตีใส่กระเด็นลงที่พื้นของดาดฟ้าที่ตึกแห่งหนึ่ง

อะแธ: ไม่มีใครจะกล้าต่อกรกับ อะแธ ผู้นี้หรอก

 ยังโชคดีที่การโจมตีของเจ้า อะแธ ไม่ทำอันตรายกับ โอเนีย มากเพราะเธอใช้พลังลดแรงกระแทกทำให้บาดเจ็บเล็กน้อย เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นเพื่อจะกลับไปสู้กับมันต่อ แต่ตอนนี้ถ้าเธอไม่หยุดเจ้าสัตว์ประหลาดเอาไว้คนบนตึกอาจไม่รอด เธอจึงใช้พลังของเธอยิงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจมันเพื่ออย่างน้อยก็ซื้อเวลาไว้ได้

อะแธ: ถ้าคราวนี้แกยังไม่หยุด ฉันจะไม่ไว้ชีวิตแน่!

 ถึงแม้ว่าพลังของเธอจะไม่ทำอันตรายกับตัวมันมาก แต่อย่างน้อยเธอก็ซื้อเวลาเอาไว้ได้ และไม่ได้มีเพียงเธอที่ต่อสู้คนเดียว ยังมีกองทัพทางอากาศมาร่วมสู้กับเธออีกด้วย ถึงแม้ว่าแผนของ อะแธ จะล้มเหลวแต่ก็ยังมีแผนสอง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างหลายคนตอนนี้ก็ยังหนีไม่ทัน มันจึงรีบทำลายตึกด้านบนหวังให้หล่นทับคนข้างล่าง

อะแธ: ยิงปืนนัดเดียวได้นก…หลายตัว ฮ่าฮ่าฮ่า Soul Light ของพวกแกต้องเป็นของฉัน!

 ซากตึกหล่นลงมาอย่างรวดเร็วพวกเขาไม่สามารถหนีพ้น แต่ โอเนีย ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย เธอรีบบินเข้าไปใกล้ ๆ ซากตึกที่กำลังหล่นลงมา และใช้พลังสีฟ้าครอบเอาไว้

โอเนีย: ทุกคนรีบวิ่งเร็วเข้า!

 ไม่นานนักผู้คนบริเวณนั้นก็หนีไปได้ทัน เธอสามารถหยุดไม่ให้ซากตึกลงไปทับคนข้างล่างได้ อะแธ ที่เห็นว่าแผนของมันถูกทำลายก็ยิ่งโมโห โอเนีย มากขึ้นไป

อะแธ: ฉันเตือนแกแล้วนะ…

 อะแธ รวบรวมพลังแต่รอบนี้มันรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนว่าครั้งนี้มันกะจะฆ่าเธอ ในขณะที่มันจะโจมตีใส่เธอทันใดนั้นเองแสงสีทองก็สว่างขึ้นบนท้องฟ้า เหมือนกับหยุดเวลาเอาไว้ มันชะงักชั่วครู่และหันไปมอง

โอเนีย: แสงนั่นมัน…

 แสงสีทองพุ่งมาด้วยความเร็วและโจมตีใส่เจ้า อะแธ จนมันเซล้มลงพื้น ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เจ้า อะแธ นอนล้มกลิ้งกับพื้น ในขณะที่แสงสว่างสีทองค่อย ๆ เปลี่ยนรูป ∞ จากแสงสีทองกลายเป็นยอดมนุษย์ ผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้เคียงต่างตกตลึงกับสิ่งที่ได้เห็น

 โอเนีย แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ว่าฮีโร่ในดวงใจของเธอจะปรากฏให้เห็น เจ้าสัตว์ประหลาดค่อย ๆ ลอยตัวลุกขึ้นมา มันทำน้ำเสียงที่รู้สึกรำคาญและไม่พอใจเมื่อได้เห็นหน้าเขา

อะแธ: ตามมาจนได้สินะ!

เมบิอุส: ตราบใดที่ฉันยังอยู่ฉันจะปล่อยให้แกทำเรื่องชั่วร้ายแน่

อะแธ: งั้นก็…อย่าอยู่สะเลย!

 อะแธ โจมตีเขาด้วยพลังความมืด แต่เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของมันได้ แล้วใช้ Mebium Slash(ลูกศรแห่งแสง) โจมตีกลับเจ้า อะแธ โดนลูกศรแห่งแสงโจมตีใส่เข้าอย่างจังจนทำให้มันล้มเซไปมา เขาไม่รอช้ายิง Mebium Slash ซ้ำมันอีกรอบแต่ครั้งนี้มันกลับหัวเราะ การโจมตีของ เมบิอุส ที่โดนมัน แปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานสีดำทันที

 เจ้า อะแธ โจมตีกลับ เมบิอุส แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ การโจมตีของมันก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับ เมบิอุส ที่โจมตีมา ทำให้ เมบิอุส โดนลูกศรแห่งความมืดเล่นงานจนล้มลงไม่เป็นท่า โอเนีย ที่มองดูสถานการณ์ก็รอช้าอีกต่อไปไม่ได้ เธอจึงรีบเข้าไปช่วยเขา

อะแธ: ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายของแก!

 อะแธ ปล่อยลำแสงความมืดออกมาทันที เมบิอุส ที่กำลังลุกหนีตอนนี้ไม่อาจพ้น เขาจึงใช้ เมบิอุส Defensircle(เกราะป้องกัน) มากันเอาไว้แต่ก็คงไว้ได้ไม่นานเพราะพลังของเจ้า อะแธ ค่อนข้างรุนแรง ก่อนที่เกราะของเขาจะแตกก็มีแสงสีฟ้ามาป้องกันเอาไว้อีกชั้น

โอเนีย: เมบิอุส รีบลุกขึ้นมาเร็ว!

 เมบิอุส แปลกใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาและใช้ท่า Mebium Shoot(ลำแสงท่าไม้ตาย) ในการจัดการกับลำแสงแห่งความมืดที่ปล่อยมาอย่างไม่หยุดยั้ง เขายิงลำแสงต้านพลังความมืดเอาไว้จนสุดท้ายเมื่อพลังทุกอย่างรวมกันก็ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ยังโชคดีที่ผู้คนได้อพยพกันไปแล้ว

 หลังจากแสงสว่างจากการระเบิดค่อย ๆ ดับลงทั้ง 2 ฝ่ายต่างกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง โอเนีย ที่ใช้เกราะของเธอป้องกันเอาไว้ก็ไม่สามารถต้านไว้ได้จนทำให้เธอหมดสติ อะแธ ที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีมันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลัก

อะแธ: ฉันจะกลับมาล้างเผ่าพันธุ์พวกแกให้หมด!

 อะแธ บินขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะมีหลุมมิติมืดโผล่ขึ้นมาและบินหายเข้าไป ผ่านไปครู่หนึ่ง โอเนีย ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมา เธอไอสำลักควันฝุ่นและต้องตกใจกับสภาพแวดล้อมข้างกาย ผลจากการระเบิดไม่มีตึกแห่งไหนรอดพ้นอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าระยะ 3 กิโลเมตร ท้องฟ้าปั่นป่วนวิปริตมืดครึ้ม หันไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นควันดั่งหมอกทึบ แต่ไม่นานก็มีฝนตกทำให้ฝุ่นค่อย ๆ จางลง แม้เหตุการณ์นี้อยากจะทำให้เธอร้องไห้เพียงใดแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้เพราะตอนนี้ไม่มีเวลาให้เสียใจพอกับชะตากรรมของโลก

สภาพแวดล้อมรอบกายเธอตอนนี้มีเพียงความเงียบสงัดแต่ทันใดนั้นเองก็มีบางอย่างส่งเสียงออกมา "ตื้อดึด—ตื้อดึด—ตื้อดึด…" ไม่นานนัก โอเนีย ก็ตระหนักขึ้นได้ว่าเสียงที่คุ้นเคยนี้คืออะไร

โอเนีย: เสียงนี้มัน…

 เธอหันไปตามที่มาของเสียงก็พบว่ามันคือเสียงสัญญาณของ Color Timer(สัญญาณเตือนกลางหน้าอก) ที่กำลังกระพริบเพราะอาการบาดเจ็บ โอเนีย รีบบินไปดู เมบิอุส ที่นอนหมดสติ ดวงตาของเขาไม่มีไฟส่องสว่างออกมานี่เป็นเหตุฉุกเฉินเพราะหากสัญญาณบนหน้าอกของเขาดับลงนั่นหมายถึงชีวิตของเขา

โอเนีย: เมบิอุส! เมบิอุส! ได้ยินฉันมั้ย…

 เสียงเรียกของเธอนั้นไม่เป็นผล บวกกับเสียงของ Color Timer ที่ค่อย ๆ กระพริบเร็วขึ้น ยิ่งเพิ่มความเครียดให้ โอเนีย เธอต้องรีบหาทางช่วยเขาให้ได้

 เธอพยายามใช้สติและหาทางใช้พลังเวทมนตร์ของเธอในการช่วยเหลือเขา แม้ว่าเธอจะไม่เชี่ยวชาญในพลังของเธอ แต่ก็ลองเสี่ยงดู โดยการใช้เวทมนตร์ของเธอทำให้ตัวของ เมบิอุส เล็กลงเท่ากับมนุษย์ปกติซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาตามที่เธอหวัง เธอดีใจเป็นอย่างมากและไม่รอช้ารีบพาเขาบินไปที่ปลอดภัยนั่นคือบ้านของเธอเอง

 โอเนีย อุ้ม เมบิอุส เข้ามาในบ้านด้วยสภาพที่เปียกซก หลังจากนี้เธอต้องหาทางรักษาเขาเพราะตอนนี้ Color Timer ก็ยังคงกระพริบเรื่อย ๆ แต่ผลลัพธ์ในการใช้พลังได้ซื้อเวลาเพิ่มให้เธอ เนื่องจากขนาดตัวที่เล็กพลังงานจากตัวเขาจึงหมดช้าลง แต่ก็ปล่อยไว้ได้ไม่นานนัก เธอพา เมบิอุส ที่หมดสติไปนั่งพักที่กำแพง

โอเนีย: เธอจะต้องไม่เป็นอะไร…

 เธอกุมมือเขาเอาไว้ทำให้นึกถึงตอนที่เธอกุมมือกับซายะ ทันใดนั้นเองแสงสว่างจากมือของเธอก็ค่อย ๆ ลอยเป็นเส้นใยเข้าไปใน Color Timer เธอตกใจเล็กน้อยและข้าใจได้ทันทีว่าพลังของเธอสามารถเติมพลังให้เขาได้ ถึงแม้มันจะทำให้เธอรู้สึกแปลกใจแต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว เธอจึงปล่อยมือจากเขาและเอามือทั้งสองข้างปกเอาไว้ใกล้ ๆ Color Timer จนในที่สุดมันก็กลับมาเป็นสีฟ้าดังเดิม

 ดวงตาสีเหลืองทองของเขากลับมาส่องสว่างอีกครั้ง หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาเมื่อเห็นสถานที่ไม่คุ้นตาก็ทำให้เขาประหลาดใจ

เมบิอุส: นี่ฉัน…อยู่ที่ไหนเนี่ย

 เมบิอุส ที่พึ่งฟื้นได้สติมองไปรอบห้อง และได้เห็น โอเนีย ที่นั่งเฝ้าเขาอยู่ ทำให้เขาสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เธอที่เห็นว่าเขาได้สติก็ทำหน้าดีใจเป็นอย่างมาก เมบิอุส ที่กำลังสับสนกับสถานการณ์จึงได้ถามเธอ

เมบิอุส: คุณ…เป็นคนช่วยผมใช่มั้ยครับ

 โอเนีย ยังไม่ตอบคำถามของเขาเพราะด้วยความดีใจ เธอจึงเข้าสวมกอดเขาทันที แม้จะทำให้ เมบิอุส สับสนเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้ขัดอะไร

โอเนีย: ตอนแรกฉันคิดว่าจะช่วยเธอไม่ได้แล้ว ดีใจที่ปลอดภัยนะ…

 โอเนีย จับไหล่เขาด้วยความนุ่มนวล และค่อย ๆ พยุงเขาขึ้นไปนั่งบนโซฟา

โอเนีย: ค่อย ๆ นั่งนะ

 ถึงแม้จะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด แต่เขาก็มั่นใจได้แล้วว่าเธอคนนี้เป็นคนที่ช่วยเขาเอาไว้แน่ ๆ จึงกล่าวขอบคุณ

เมบิอุส: ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้ ว่าแต่…คุณรู้ชื่อผมได้ยังไง

โอเนีย: ก็เพราะว่า…

 ทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามก้องดังและไฟในบ้านก็ดับลงอย่างกระทันหัน ทำให้เธอนั้นตกใจเป็นอย่างมาก และรีบเข้าไปกุมมือ เมบิอุส แบบไม่รู้ตัวด้วยความสั่นกลัว

เมบิอุส: มือคุณสั่นมาก ไม่เป็นอะไรนะครับ…

 โอเนีย ที่พึ่งรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรก็รีบปล่อยมือและกล่าวขอโทษ ไม่นานนักไฟก็กลับมาสว่างเหมือนเดิม

โอเนีย: ขอโทษนะพอดีมันชินน่ะ ฉันทำให้เธอตกใจด้วยมั้ยเนี่ย

เมบิอุส: ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่นั่น…

 ในระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน เมบิอุส ได้ มองไปเห็นตู้สะสมตัวละครของเธอ ด้วยความสนใจเขาจึงลุกขึ้นไปดูใกล้ ๆ พร้อมกับ โอเนีย ที่เข้าไปแนะนำ

โอเนีย: นี่คือตู้เก็บสะสมตัวละครของฉันน่ะ

 เมบิอุส มองดูของสะสมในตู้ด้วยความสนใจและสดุดตาเข้ากับฟิกเกอร์อุลตร้าแมนของเธอ

เมบิอุส: ทำไมถึงได้มีพี่น้องอุลตร้าเต็มไปหมดเลยล่ะครับ แต่ตัวจิ๋วนิดเดียวเอง เอ๊ะ! มีผมด้วย คุณเป็นคนทำขึ้นมาเหรอครับ

โอเนีย: ฮ่าฮ่า ไม่ใช่หรอก พวกนี้เรียกว่าฟิกเกอร์น่ะ ตัวละครที่ทำจำลองขึ้นมาจากหนังหรือพวกการ์ตูนที่คนส่วนใหญ่รู้จักน่ะ

เมบิอุส: คนส่วนใหญ่รู้จัก…หรือว่า! ไม่ได้มีแค่คุณที่รู้จักผม แต่ชาวโลกหลายคนเลยเหรอครับ

โอเนีย: เยอะไม่น้อยเลยล่ะ อืม…ฉันเห็นเธอยืนจ้องตั้งนานแล้ว อยากได้สักตัวดีมั้ย

เมบิอุส: จะดีเหรอครับ…

 ถึงแม้คำพูดของเขาจะบอกว่าไม่อยากได้ แต่ในใจของเขาก็ไม่อาจละจากมันได้ โอเนีย ที่เห็นดังนั้นจึงหยิบกุญแจไขตู้ออกมาและยื่นหุ่น เมบิอุส Burning Brave(ร่างลายไฟ) จิ๋วให้เขา

เมบิอุส: แม้แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีร่างแบบนี้ด้วย ไม่คิดเลยว่าชาวโลกจะรู้จักผมดีขนาดนี้

โอเนีย: ยิ่งกว่ารู้จักดีเลยล่ะ คนที่สร้างเธอขึ้นมาเขาคงจะตกใจถ้ารู้ว่าตัวละครในจินตนาการมีตัวตนจริง ๆ

เมบิอุส: คุณ โอเนีย หมายความว่ายังไงเหรอครับ

โอเนีย: ถ้าให้อธิบายก็คงจะนาน พูดสั้น ๆ ก็คือ เธอเป็นตัวละครที่ถูกแต่งขึ้นมาน่ะ

 เมื่อเขาได้ยินก็ทำให้ประหลาดใจ เธอนำโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดวิดีโอสั้น ๆ ของเขาให้ตัวเขาดู เมบิอุส ที่ได้เห็นตัวเองครั้งแรกในจอมือถือก็ตกใจ

เมบิอุส: ผมไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่…

โอเนีย: ก็แค่คนแสดงน่ะ อีกอย่างที่พิเศษสุด ๆ ปีนี้เธอครบรอบ 20 ปีด้วยนะ

เมบิอุส: แต่ว่าผมอายุ 6800 ปีแล้วนะครับ

โอเนีย: ฮ่าฮ่า ฉันหมายถึงในซีรีส์น่ะ

เมบิอุส: จะว่าไปเราคุยกันมาตั้งนานแล้ว แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย

โอเนีย: ขอโทษนะที่ฉันยังไม่แนะนำตัว ฉันชื่อ โอเนีย จ้ะ

เมบิอุส: คุณ โอเนีย ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยชีวิตผมไว้นะครับ ว่าแต่นี่บ้านคุณเองเหรอครับ

โอเนีย: ใช่ นี่บ้านฉันเอง เป็นบ้านที่ฉันก็ยังก็ไม่เข้าใจว่ามายังไง…แต่ช่างเถอะ

เมบิอุส: คุณ โอเนีย อยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ

โอเนีย: ความจริงแต่ก่อนฉันก็ไม่ได้ตัวคนเดียวหรอก แต่ตอนนี้…

 คำถามที่เหมือนจะจี้จุด โอเนีย ทำให้เขาเห็นท่าว่าไม่ดี จึงรีบชวนเธอเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

เมบิอุส: ขอโทษนะครับที่ถามไปแบบนั้น เปลี่ยนเรื่องคุยดีมั้ยครับ

โอเนีย: อืม…ดีเหมือนกัน ฉันอยากจะรู้ว่าเธอมาที่โลกได้ยังไง เจ้าพ่ออุลตร้าส่งมาเหรอ

 โอเนีย ลองถามเขาไปเล่น ๆ แต่ เมบิอุส ทำท่าทางตกใจ และหันไปถามเธอ

เมบิอุส: คุณ โอเนีย รู้ได้ยังไงเหรอครับ…

โอเนีย: ก็แค่เดาน่ะ ถ้าไม่ใช่เจ้าพ่ออุลตร้าส่งเธอมาจะมีใครอีกล่ะ ใช่มะ…แล้วเจ้าพ่ออุลตร้าตั้งใจส่งมาเธอมาที่โลกเลยรึเปล่า

เมบิอุส: จะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิงครับ คุณ โอเนีย พอรู้ใช่มั้ยครับว่าดาว M-78 คืออะไร

โอเนีย: ถิ่นกำเนิดชาวอุลตร้าใช่มั้ย

เมบิอุส: ใช่ครับ ที่ผมมาที่นี่เพราะพวกเราถูกมันรุกรานแต่ยังโชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย

โอเนีย: ถูกใครรุกรานเหรอ

เมบิอุส: เจ้าปีศาจตัวที่พวกเราสู้กับมันน่ะครับ มันพยายามจะขโมย Plasma Spark ของพวกเราไป

 ภาพย้อนกลับไปในขณะที่ อะแธ กำลังรวบรวม Soul Light ในจักรวาลต่าง ๆ หลังจากที่มันเดินทางไปทั่วหลายล้านจักรวาล มันได้หยุดอยู่ที่จักรวาลแห่งหนึ่งซึ่งดูค่อนข้าง "แตกต่าง" จากที่อื่น ทันใดนั้นเอง อะแธ ได้สังเกตเห็นดาวเคราะห์สีเขียวดวงหนึ่ง แม้จะอยู่ไกลแต่มันสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง ด้วยความสงสัย อะแธ บินเข้าไปใกล้ดาวเคราะห์ดวงนั้นและก็ทำให้มันต้องตกใจเพราะดาวเคราะห์นี้มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึง 60 เท่า และมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วย

อะแธ: อะไรกัน…ทำไมไม่เคยเห็นดาวดวงนี้มาก่อนเลย

 เมื่อมันบินเข้าไปในดาวมันก็ตกตะลึงสิ่งที่เห็นตรงหน้า ชาวอุลตร้ามากมายที่บินและเดินอยู่ทั่วนครแห่งแสง อะแธ สังเกตเห็นหอคอยสูงที่ส่องแสงสว่างจ้า มันบินเข้าไปในหอคอยด้วยความแนบเนียนและได้เห็นพลังงานแสงบริสุทธิ์ที่คอยส่องสว่างไปทั่วดวงดาว ด้วยความคิดที่อยากจะได้เอามาเป็น Soul Light มันจึงพยายามขโมย Plasma Spark แต่ก่อนที่มันจะได้จับ นิ้วของมันก็ถูกแผดเผาด้วยพลังงานบริสุทธิ์ มันร้องลั่นเสียงดังด้วยความเจ็บปวด

อะแธ: ทำไมกัน…ไม่ว่าจะแสงไหน ๆ ในจักรวาลไม่มีที่ไหนที่ฉันจะแตะไม่ได้…ดาวประหลาดดวงนี้มันอะไรกัน

 ทันใดนั้นเอง ลูกศรแสงสีทองก็ได้ยิงมาที่มือของ อะแธ ยิ่งทำให้มันรู้สึกโมโหมากกว่าเดิม มันจึงหันหลังมองไปทางคนที่ยิงมา ปรากฏว่าเป็น เมบิอุส นั่นเอง

เมบิอุส: อย่าแตะต้อง Plasma Spark นะ!

อะแธ: พวกจุ้นจ้าน!

 อะแธ บดบังการมองเห็นของเขาด้วยพลังความมืด และใช้โอกาสนี้หลบหนีออกไป ก่อนที่ เมบิอุส จะกลับมามองเห็นดังเดิม อะแธ ก็ได้หายไปยังจักรวาลอื่นแล้ว เมบิอุส จึงไม่รอช้ารีบนำเรื่องไปรายงานกับเจ้าพ่ออุลตร้า

เจ้าพ่ออุลตร้า: ฉันคงต้องมอบหน้าที่นี้ให้เธอแล้วล่ะ เมบิอุส ตามจับตัวมันมาให้ได้

เมบิอุส: ครับ! ผมจะรีบจับตัวมันมาให้ได้

 เจ้าแม่อุลตร้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเป็นห่วง เมบิอุส จึงถามเจ้าพ่ออุลตร้าเพื่อความมั่นใจ

เจ้าแม่อุลตร้า: แต่มั่นใจจริง ๆ เหรอคะ เมบิอุส กำลังอยู่ในช่วงฝึกกับ ทาโร่ นะ

เจ้าพ่ออุลตร้า: เขาเป็นคนเดียวที่ตามหาเจ้านั่นได้ เอาล่ะขอให้โชคดีหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญ

 หลังจากได้รับคำสั่งแล้วเจ้าพ่ออุลตร้าได้มอบ เมบิอุส Brace ให้กับเขา เมบิอุส รีบออกตามหา อะแธ ไปทั่วจักรวาลและภาพก็ได้ตัดมาอยู่ปัจจุบัน

โอเนีย: แสดงว่าเธอเคยสู้กับมันมาก่อน มิน่าทำไมมันถึงไม่ชอบเธอ จะว่าไปตอนที่สู้ฉันได้ยินมันพูดถึง Soul Light นั่นอาจเป็นสิ่งที่มันตามหาอยู่ เธอพอจะรู้มั้ยว่ามันคืออะไร

เมบิอุส: ผมพอเคยได้ยินอยู่ครับ Soul Light เป็นแสงที่มีอยู่ทั่วจักรวาล อยู่ในตัวสิ่งมีชีวิตทุกอย่างหรือแม้กระทั่ง Plasma Spark ของพวกเราก็มี Soul Light อยู่ด้วย ถ้าเกิดขาด Soul Light ก็เหมือนกับขาดชีวิตไป สิ่งที่ทำให้ทั้งจักรวาลดำรงอยู่ได้ก็มาจาก Soul Light นี่แหล่ะครับ

 โอเนีย ทำหน้าตาดูเป็นกังวลด้วยความเป็นห่วง

โอเนีย: งั้นก็แปลว่าดาวของพวกเธอกำลังอยู่ในอันตรายน่ะสิ ถ้ามันได้พลังขนาดนั้นไป ต้องเอาไปทำเรื่องไม่ดีแน่

เมบิอุส: ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ดาวของพวกเราถ้าเทียบกับ Soul Light ของดาวอื่น ๆ แล้ว Plasma Spark ก็เป็นเหมือนพระอาทิตย์จำลองแค่นั้นเอง

โอเนีย: แต่ยังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มี Plasma Spark พวกเธอก็อยู่ไม่ได้เลยนะ

เมบิอุส: พวกเราไม่กลัวหรอกครับ ยังไงชาวดาวอุลตร้าจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด อีกอย่างมีคุณ โอเนีย อีกทั้งคน

 เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โอเนีย จึงยิ้มรับด้วยความอบอุ่น ภาพตัดไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง โลกที่มีเพียงความมืดและเสียงกรีดร้องโหยหวยของความโกลาหล อะแธ กลับมาตั้งหลักที่นี่หลังจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด มันจับไหล่ตนเองด้วยอาการบาดเจ็บ

เสียงปริศนา: กลับมาแล้วเหรอ อะแธ

 เสียงปริศนาอันน่าเกรงขามกล่าวคำขึ้นมาดังก้องไปทั่ว อะแธ ที่เมื่อได้ยินก็รีบคุกเข่าลงทันที

อะแธ: นายท่าน…ข้ามีความรู้สึกแปลก ๆ กับจักรวาลที่ข้าพึ่งไปมา

เสียงปริศนา: มันทำไมเหรอ…โอ้ เจ้าบาดเจ็บมาสินะ สงสัยพวกที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้คงไม่ธรรมดา…หรือว่าเจ้านั้นอ่อนหัดเอง

 อะแธ ก้มหน้าเงียบไม่พูดต่อสักพัก ก่อนที่จะเงยหน้าและพูดอีกครั้ง

อะแธ: ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่กลับมาสภาพแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีอุปสรรคเข้ามา

เสียงปริศนา: อุปสรรคที่ว่า คือความอ่อนแอของเจ้ารึเปล่า

 อะแธ นิ่งเงียบสักพัก ก่อนจะพูดโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

อะแธ: ข้าสัมผัสได้ว่านางกำลังจะกลับมา!

 หลังพูดจบโซ่สีดำนับพันออกมาล่ามตรวนตัวของ อะแธ รัดมันไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด

เสียงปริศนา: เจ้าว่าอย่างไรนะ

อะแธ: ข้าขออภัยที่พูดกับท่านเช่นนั้น…แต่ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาข้าไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แถมดาวประหลาดนั่นอีก…

 โซ่นับพันค่อย ๆ คลายออกจน อะแธ ตกลงไปนอนกับพื้นก่อนที่จะลุกขึ้นมาด้วยความทุลักทุเล 

เสียงปริศนา: เลิกเหลวไหลแล้วกลับไปเก็บ Soul Light มาให้ข้าต่อได้แล้ว อีกไม่นานข้าจะกลับมาปกครองจักรวาลด้วยความมืดอีกครั้ง

อะแธ: ข้า…จะพยายามให้มากกว่านี้

 อะแธ คุกเข่าลงอีกครั้ง และก้มหน้าเคารพผู้เป็นนาย

เสียงปริศนา: ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย อะแธ อย่ามาทำตัวเหลวไหลกับข้าอีก

 หลังเสียงปริศนาพูดจบ อะแธ กำหมัดแน่นก่อนที่จะคลายออก และถอนหายใจ

อะแธ: ทำไมข้าต้องมาเหนื่อยแบบนี้ด้วย…

More Chapters