โอเนีย รู้สึกสับสนเมื่อได้ยิน ทำไม เอเรบัส ถึงเรียกเธอว่าเทพีแห่งแสงสว่าง ทันทีที่เขาจับมือเธอ ทำให้เธอเหมือนเข้าไปอยู่อยู่ในนิมิตของเขา เธอรู้สึกตัวอีกครั้งก็เห็นว่าตัวเองลอยอยู่ท่ามกลางความมืด ก่อนดวงตาสีแดงของ เอเรบัส จะปรากฏขึ้น
เอเรบัส: นี่คือจุดเริ่มต้นของพวกเรา ในตอนที่ยังไม่มีแม้กระทั่งข้าและเจ้า มีแค่เพียงความโกลาหลและความว่างเปล่า จนกระทั่งการกำเนิดของข้าได้เกิดขึ้น ความมืดแรกของจักรวาลทั้งปวง นี่คือตัวตนที่แท้จริงของข้า
ในยามที่เกิดความมืดไม่นานนักได้มีจุดสีขาวเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ
เอเรบัส: ส่วนนั่นก็คือเจ้าแสงสว่างแรกของจักรวาลทั้งปวง ต้นกำเนิดของพวกเราเกิดอยู่ที่นี่
โอเนีย: แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อ…
เอเรบัส: เมื่อการถือกำเนิดของเจ้าและข้ามาถึง นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นกำเนิดสิ่งมีชีวิต ข้าจะพูดสรุปให้เจ้าฟังสั้น ๆ
ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ตรงหน้าของเธอตอนนี้มีรูปร่างของชายหนุ่มที่ร่างกายมีเพียงสีดำสนิด กับหญิงสาวที่ร่างกายของเธอมีเพียงแสงสว่างสีขาว เข้าปะทะกันจนร่างกายของทั้งสองหลอมรวมกันและเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
เอเรบัส: ความคิดในการกำเนิดจักรวาลของเจ้าและของข้านั้นไม่เหมือนกัน พวกเราจึงเกิดความขัดแย้งและปะทะกัน จนสุดท้ายเจ้ากับข้าก็แตกสลายไปด้วยกันทั้งคู่
ภาพได้แสดงเหตุการณ์ในขณะที่ทั้งคู่กำลังปะทะกัน "เทพีแห่งแสงสว่าง! เจ้าคิดผิดแล้วที่เจ้าตัดสินใจทำเช่นนี้!" เสียงพูดอันโกรธเกรี้ยวของ เอเรบัส ที่กำลังต่อสู้กับเทพีแห่งแสงสว่าง "เจ้าไม่คิดถึงชีวิตอันสวยงามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหน่อยหรือ เอเรบัส หากสุดท้ายพวกเราต้องหายไปอย่างไร้ความหมายล่ะ" เสียงพูดของเทพีแสงสว่างที่พูดโน้มน้าวให้เทพแห่งความมืดเปลี่ยนใจ "เจ้าอยากจะเห็นความเจ็บปวดที่วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุดอย่างงั้นเหรอเทพีแห่งแสงสว่าง!" คำพูดจากอีกฝ่ายที่แสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่ยินยอมกับความคิดนี้ของเธอ
"แต่มันเป็นโชคชะตาของจักรวาลที่ต้องถูกสร้าง…สร้างความหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเรา" เอเรบัส เงียบสักพักก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง "เทพีแห่งแสงสว่าง ถ้าเกิดข้ากับเจ้าต้องได้สร้างจักรวาลขึ้นมาพวกเราก็ต้องแยกจากกันนะ!" "ข้าเข้าใจ ความรักของเราอาจจะต้องได้แยกจากกัน แต่พวกเราคือความสมดุลทั้งปวง" เทพีแห่งแสงสว่างกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "เจ้า…ตัดสินใจเช่นนั้นจริง ๆ สินะ" เอเรบัส พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความน้อยใจ "ถ้าพวกเรามีความคิดที่ต่างกันออกไปเช่นนี้ ข้า…ยอมสู้กับเจ้าเทพีแห่งแสงสว่าง" เมื่อเทพีแห่งแสงสว่างได้ยินมันก็ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ ที่ต้องได้สู้กับคนรัก "หากเจ้าประสงค์เช่นนั้น ข้าก็ยินดีที่จะสู้"
ภาพตัดไปในการต่อสู้ของทั้งสองคนและก่อนที่ทั้งคู่จะแตกสลาย เอเรบัส ได้กล่าวคำพูดสุดท้ายเอาไว้ว่า "แล้วเราจะต้องได้เจอกันอีก!" แสงสว่างและความมืดกระจายไปทั่วเขตอนันต์ กลายเป็นพลังงานที่นับไม่ถ้วน และในที่สุดก็ได้กลายเป็นจักรวาลในแบบของปัจจุบัน
เอเรบัส: เจ้ารู้ตัวมั้ยเพราะเจ้านั่นแหล่ะคือสาเหตุที่ข้าต้องทำสงครามในครั้งนี้
เมื่อ เอเรบัส พูดจบภาพตรงหน้าของเธอกลายเป็นดังเดิม น้ำตาของเธอไหลออกมาเหมือนกับได้รับข้อมูลที่ตัวเธอไม่ควรจะรู้ ข้อมูลมากมายที่ไม่สามารถ บรรยายออกมาได้ทั้งหมด
โอเนีย: ทำไมถึงต้องเป็นเพราะฉันล่ะคะ…
เอเรบัส: ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาอีก ถ้าไม่มีเจ้าอยู่จักรวาลนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับข้า
เอเรบัส จับมือของ โอเนีย เบา ๆ ก่อนที่เธอจะรีบดึงมือออกมา
โอเนีย: ขอร้องท่านอย่าต้องทำให้คนอื่นเดอดร้อนเลยค่ะ ถ้าสงครามนี้มันจะเกิด ก็เอาฉันไปอยู่ด้วยเลยสิคะ
เธออ้อนวอน เอเรบัส พร้อมกับร้องไห้ออกมา ทำให้ เอเรบัส รู้สึกโมโห
เอเรบัส: ทำไมเจ้าต้องสงสารสิ่งมีชีวิตจอมปลอมที่เจ้าสร้างขึ้นมาด้วย!
โอเนีย: หมายความว่ายังไงจอมปลอม…ถ้าทุกคนปลอมงั้นฉันก็ปลอมเหมือนกัน
เอเรบัส นิ่งเงียบสักพักก่อนที่ โอเนีย จะพูดขึ้นมาอีก
โอเนีย: ฉันไม่อยากจะใช้คำพูดนี้กับท่านเลยนะคะ…ฉันเคารพในศักดิ์ศรีของเทพแห่งความมืดแต่แบบนี้ มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือคะ?
เมื่อ โอเนีย ต่อว่าเขาทำให้ เอเรบัส พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว
เอเรบัส: เจ้าไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของข้าจริง ๆ เทพีแห่งแสง…เจ้าไม่เคยรู้เลยว่าข้ารักเจ้ามากแค่ไหน
เขาเอามือมาลูบที่แก้มของเธอเบา ๆ ก่อนที่ โอเนีย จึงมือของเขาลง
โอเนีย: ถ้าเกิดท่านรักฉันจริง…อย่าทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วยเลยค่ะ ให้เรื่องมันจบโดยดี และให้ฉันได้มาอยู่กับท่านจะดีกว่า
เอเรบัส: ไม่ได้…เจ้าจะอยู่ในร่างนี้ไม่ได้ ตอนนี้เจ้าอยู่ในฐานะของมนุษย์ เจ้ามีอายุขัย สุดท้ายเจ้าก็ต้องได้จากข้าไปเหมือนเดิม
โอเนีย: ถึงจะไม่ได้อยู่ชั่วนิรันดร์แต่ก็ยังมีช่วงเวลาอีกยาวที่เราจะได้อยู่ร่วมกันนิคะ…แต่จะว่าไปท่านรู้ได้ยังไงว่าฉันคือเทพีแห่งแสงอะไรนั่น…
เอเรบัส: เจ้าเคยคิดสงสัยบ้างมั้ยว่าพลังเวทมนตร์ในตัวของเจ้าได้มาได้ยังไง เคยคิดสงสัยบ้างมั้ยว่าเจ้าเกิดมาได้อย่างไร
คำพูดของ เอเรบัส ทำให้เธอตระหนักขึ้นมาว่าตลอดชีวิตของเธอยังมีเรื่องราวของตัวเองที่แม้กระทั่งตัวเธอก็ยังไม่รู้
เอเรบัส: ข้ารู้ได้ก็หลังจากเจ้าใช้พลังในการต่อสู้ที่โลกครั้งนั้น ป้องกันพลังของข้า
ทันใดนั้นเอง อะแธ ได้รีบบินเข้ามาหาทั้งคู่ ท่าทางของมันดูเร่งรีบเป็นอย่างมาก
อะแธ: ท่าน เอเรบัส ตอนนี้มีผู้บุกรุกขอรับ
เอเรบัส: ใครกัน! พวกมันเข้ามาได้ยังไง
เมื่อ โอเนีย หันไปดูก็พบว่า เหล่าอุลตร้าแมนทั้งหลายต่างรวมตัวกันมาที่นี่ เมบิอุส ที่บินอยู่ข้างบนเมื่อเห็น โอเนีย จึงรีบเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว เขาย่อขนาดลงและอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับบินกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เมบิอุส: คุณ โอเนีย ไม่เป็นอะไรนะครับ
โอเนีย: ฉันไม่เป็นอะไร…ขอบคุณนะที่มาช่วย
เมบิอุส บินกลับไปรวมตัวกับชาวอุลตร้าคนอื่น ๆ นับร้อยคนที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อ เอเรบัส ได้เห็นชาวอุลตร้านับร้อยที่ลอยเรียงกันอยู่กลางอากาศจึงเกิดความสงสัย
เอเรบัส ขยายร่างกายของเขาให้มีขนาดใหญ่เท่ากันกับเหล่าอุลตร้า และบินขึ้นไปพร้อมที่จะต่อสู้ แม้จะเผชิญหน้ากับเจ้าพ่ออุลตร้าและกองทัพแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวเลยสักนิด
เจ้าพ่ออุลตร้า: แกคือ เอเรบัส สินะ พวกเรามาที่นี่เพื่อจะจัดการแก!
เอเรบัส พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่รำคาญใจ เขาจะไม่เป็นคนที่โต้กลับแต่จะเป็นลูกสมุนแทน
เอเรบัส: ข้าไม่คิดจะเสียเวลากับพวกเจ้าหรอก อะแธ! จัดการพวกมัน
เมื่อได้รับคำสั่ง อะแธ ได้ปลุกทหารนับพันขึ้นมา เมื่อเจ้าพ่อเห็นท่าว่าไม่ดีจึงเรียกให้เหล่าอุลตร้าถอยทัพไปก่อน
เจ้าพ่ออุลตร้า: เมบิอุส พาคุณ โอเนีย หนีออกไปให้ไวที่สุด!
เขาไม่รอช้ารีบพาเธอบินออกไปด้วยความรวดเร็ว
เอเรบัส: ไม่แน่จริงนี่พวกขี้ขลาด! ไล่ตามพวกมันไป เอาตัวเทพีแห่งแสงสว่างกลับมาให้ได้!
เอเรบัส สั่งทหารของเขาให้ไล่ตามเหล่าอุลตร้าทั้งหลาย ก่อนที่จะโดนโจมตีทุกคนได้ใช้ Travel Sphere เพื่อหลบหนีออกจากมิติแห่งนี้ เมื่อ เอเรบัส เห็นเหล่าอุลตร้าหายไปต่อหน้าต่อตาทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
เอเรบัส: พวกแกต้องชดใช้!
ภาพตัดไปในระหว่างการเดินทางกลับ เมบิอุส ได้คุยกับ โอเนีย ในขณะที่พวกเขาอยู่ใน Travel Sphere ด้วยกัน
เมบิอุส: ผมไม่คิดเลยว่าคุณ โอเนีย จะกล้ามาที่อันตรายแบบนี้คนเดียว ทุกคนช่วยกันตามหาคุณ โอเนีย แทบแย่เลยนะครับ
เมื่อเธอได้ยินจึงเกิดความสงสัย
โอเนีย: แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันมาที่นี่
เมบิอุส: คุณ ฮิคาริ คงไม่ได้บอกว่า Travel Sphere มีระบบติดตาม แล้วก็อีกหตุผลที่ผมแอบเสียมารยาท ผมบังเอิญได้ยินคุณ โอเนีย คุยกับเจ้าปีศาจนั่นพอดีด้วยน่ะครับ
เธอหันขวับมองที่หน้าของเขาด้วยความตกใจ
เมบิอุส: พอเห็นอย่างงั้นผมก็เลยแอบตามคุณ โอเนีย เงียบ ๆ พอเห็นว่าคุณ โอเนีย ใช้ Travel Sphere ออกไปคนเดียว ผมเลยรีบเข้าไปถามคุณ ฮิคาริ พอได้เรื่องมา ผมเลยรีบรายงานให้คนอื่นรู้ กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับคุณ โอเนีย
โอเนีย รู้สึกซาบซึ้งในใจเธอเมื่อได้ยินถึงความเป็นห่วงของเขา จนทำให้เธอไม่อยากเชื่อคำพูดที่ เอเรบัส พูดกับเธอ ทันใดนั้นเองภาพบางอย่างในหัวของเธอก็ผุดเข้ามา เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หลากหลายความรู้สึก ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ทุกคนก็ได้กลับมาถึงที่ดาวแล้ว
ภาพตัดไปที่ เอเรบัส หลังจากล้มเหลวในการตามตัว โอเนีย เขารีบทำให้ร่างกลายกลับมาเป็นดังเดิมเพราะรู้สึกเสียพลังไปค่อนข้างมาก ในขณะที่กำลังเดินขึ้นบัลลังก์จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเข่าอ่อนล้มลงกับพื้น จน อะแธ ต้องรีบวิ่งเข้ามาพยุงเอาไว้
อะแธ: ท่าน เอเรบัส ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ
เอเรบัส: ข้าคงจะรีบใช้พลังเร็วเกินไป…รอให้พลังข้ากลับคืนมาทั้งหมดก่อนเถอะ ข้าจะทำให้พวกมันได้เห็นว่ามันกำลังเล่นกับใคร
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของฝีเท้าค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เอเรบัส และ อะแธ หันไปมองตามที่มาของเสียง ปรากฏให้เห็นเป็นหญิงชราผู้หนึ่งซึ่งนั่นก็คือ คุณยายที่ โอเนีย เห็นในตอนต้น พร้อมกับหลานสาว(?) เรียกว่าลูกศิษย์คงจะดีกว่า เดินมาพร้อมกัน
เมื่อ เอเรบัส ได้เห็นก็ทำท่าทางและดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ พร้อมกับเรียกชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ
เอเรบัส: ตีอาห์…
หญิงชรายิ้มเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธอ ภาพตัดไปที่ โอเนีย ทันทีในขณะที่เธอกำลังนั่งพักอยู่นั้น เธอรู้สึกบางอย่างอยู่ข้างในเสื้อ เมื่อเธอควักสิ่งนั้นออกมาก็ต้องตกใจ มันคือสร้อยคอที่เธอเก็บไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจว่าสร้อยเส้นนี้มาได้ยังไง และเมื่อเธอสังเกตดูก็พบว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป
จากในตอนแรกที่เป็นเพียงรูปพระจันทร์เสี้ยว ตอนนี้มันกลับกลายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง ในขณะนั้นเองทันทีที่เธอไม่ทันได้สังเกตบนแขนเสื้อของเธอก็ปรากฏอักขระเรืองแสงอีกครั้ง ᛚᛁᚷᚺᛏ ทันใดนั้นเองเมื่ออักขระหายไป รูปพระจันทร์บนสร้อยคอของเธอก็ส่องสว่างออกมาทันทีจนทำให้เธอตกใจ
โอเนีย: เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!
เสียงของใครบางคนได้พูดกับเธอ "ถึงเวลาที่ต้องได้รับรู้ความจริงแล้ว" เสียงแห่งความอบอุ่นที่เธอเคยได้ยินในครั้งเมื่อยู่บนรถประจำทางในครั้งนั้น ทันใดนั้นเองร่างกายของเธอค่อย ๆ ลอยขึ้นช้า ๆ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะกลายเป็นแสงสว่างสีขาว
"ตื่นเร็วเด็กน้อย" เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงคนนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกตัวอีกที
โอเนีย: นี่ฉันอยู่ที่ไหนอีกแล้ว…
ทันทีที่เธอลืมตา สร้อยคอของเธอลอยขึ้นไปเหนือหัวเล็กน้อย และกลายสภาพเป็นหญิงสาวผู้ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเธอ หรือจะบอกว่าคือเธออีกคนก็ไม่ผิด แต่หญิงสาวผู้นี้มีท่าทางที่สุขุม การแต่งกายที่สามารถบ่งบอกได้ว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เธอจ้องมองหญิงสาวผู้นั้นก่อนจะซักถาม
โอเนีย: คุณ…คือใครคะ
หญิงสาวคนนั้นยิ้มก่อนที่จะพูดคำคำนึงออกมา
เทพีแห่งแสงสว่าง: "ฉันคือแสงสว่างของเธอยังไงล่ะ"
โอเนีย: คำพูดนี้…ในความฝันของฉัน
ในขณะที่ โอเนีย กำลังตกใจกับสิ่งที่หญิงสาวพูด หญิงสาวคนนั้นก็ได้พูดแนะนำตัวเองต่อ
เทพีแห่งแสงสว่าง: จักรวาลจะรู้จัก "พวกเรา" ในฐานะของ "เทพีแห่งแสงสว่าง" แต่ชื่อจริง ๆ ของฉันก็คือ "เอลลัก"
คำพูดของหญิงสาวทำให้ โอเนีย รู้สึกมึนงง หากว่าเทพีแห่งแสงสว่างตัวจริงอยู่ที่นี่ แล้วตัวเธอที่ถูกเรียกว่าเทพีแห่งแสงสว่างหมายความว่าอย่างไรกันแล้วคำว่า "พวกเรา" ที่เธอพูดหมายความว่ายังไง เมื่อ เอลลัก ได้เห็นสีหน้าของ โอเนีย ที่แสดงความสับสนออกมา เธอจึงเริ่มอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับที่มาที่ไป
เอลลัก: ฉันคงจะทำให้เธอสับสน แม้แต่ เอเรบัส ยังเข้าใจว่าเราทั้งคู่คือคนเดียวกันก็ไม่ผิด แต่เธอคือ โอเนีย เป็นส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวในตัวฉัน
โอเนีย: เศษเสี้ยวในตัวคุณ?
เพื่อง่ายต่อการอธิบาย เอลลัก ใช้พลังของเธอสร้างจักรวาลจำลองเพื่อการอธิบายให้เห็นภาพ จากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแสงสว่างกลับถูกปกคลุมด้วยความมืดและค่อย ๆ ปรากฏเป็นภาพในครั้งเมื่อยังไม่เกิดจักรวาล
เอลลัก: เทพีแห่งแสงสว่างและเทพแห่งความมืดต่างมีพลังแบ่งเป็นสามส่วน ของฉันคือ ชีวิต แสงสว่าง และอนาคต ส่วน เอเรบัส คือ การดับสิ้น เงาและอดีต หลังจากที่พวกเราแตกสลาย พลังของพวกเราล้วนกระจายไปทั่วเขตอนันต์ หลอมรวมและสร้างวัฏจักรแห่งชีวิตขึ้นมากลายเป็น "ปัจจุบัน"
เมื่อการอธิบายจบลงภาพตรงหน้าก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
โอเนีย: แสดงว่าเรื่องที่เขาเล่าให้ฉันฟังก็เป็นเรื่องจริง…
เอลลัก พูดโพล่งขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย
เอลลัก: เรื่องที่ว่าพวกเราสู้กันเพราะความคิดที่ไม่ตรงกันน่ะเหรอ
โอเนีย: คุณรู้ได้ยังไงคะ
เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ตกใจทำให้ เอลลัก หัวเราะออกมา
เอลลัก: ฉันแนะนำว่าอย่าไปเชื่อในสิ่งที่เขาพูดทุกอย่างจะดีกว่า เขาน่ะเจ้าเล่ห์มาก ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้ เรื่องความรักเองก็เป็นแค่เรื่องบังหน้า เอาไว้ปิดบังความรับผิดชอบที่ควรทำ
สายตาของ เอลลัก แสดงความไม่พอใจออกมาทันที แต่เธอก็เปลี่ยนเรื่องคุยและตอบคำถามที่ โอเนีย ถามเอาไว้
เอลลัก: ฉันควรพอแค่นี้ดีกว่า นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว เธออย่าเก็บเอาไปคิดให้ปวดหัวเถอะนะ อ้อ…แล้วก็เรื่องที่เธอถามว่าฉันรู้ได้ยังไงก็เพราะว่า "เธอ" คนนั้นช่วยยังไงล่ะ
โอเนีย: "เธอ" คนนั้น…ใครคะ
เอลลัก: แม่มดแห่งการพยากรณ์ผู้เหลือรอดเดียวในจักรวาล "ตีอาห์" แม่มดที่ช่วยฉันส่งไปหาเศษเสี้ยวที่หายไปหรือก็คือเธอ โดยสร้อยคอพระจันทร์นั่นไง
ภาพตัดกลับไปที่ เอเรบัส และ ตีอาห์ ที่กำลังยืนคุยกัน
เอเรบัส: เจ้ามาที่นี่ทำไม
ตีอาห์: ข้ามาเพื่อที่จะรายงานให้ท่านได้ทราบ
เอเรบัส: เรื่องอะไร…
ตีอาห์: เอเรบัส ถึงแม้ท่านจะเป็นเทพแห่งความมืดของจักรวาล แต่ตอนนี้หน้าที่ของท่านยังไม่สมบูรณ์
เอเรบัส: เจ้าหมายความว่ายังไง
ตีอาห์: ท่านและเทพีแห่งแสงสว่าง ต่างร่วมสร้างจักรวาลขึ้นมาก็จริง แต่พลังที่หลอมรวมกันต่างเป็นแค่เศษเสี้ยวเพียงบางส่วน หลังจากร่างกายของพวกท่านกระจายไปเป็นพลังงาน โลกทั้งหมดที่เห็นแม้จะเหมือนแต่จริงแท้คือของปลอม
ภาพตัดสลับกลับไปที่ โอเนีย และ เอลลัก
เอลลัก: ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ ยังเป็นเพียงเรื่องสมมติ จักรวาลที่เห็นสร้างขึ้นมาชั่วคราว แต่ถึงอย่างงั้นทุกอย่างล้วนมีเวลาของมัน
โอเนีย: ถ้าเกิดเวลาหมดล่ะคะ…
เธอได้แสดงภาพให้ โอเนีย เห็น จักรวาลอันกว้างใหญ่ที่ค่อย ๆ สลายหายไปในความมืด จนไม่เหลืออะไร
เอลลัก: ถ้าเกิดไม่รีบผนึกเอาไว้ ทุกอย่างก็จะหายไปแม้กระทั่งพวกเรา หน้าที่ของเทพแห่งความมืดและเทพีแห่งแสงก็คือสิ่งนั้น
โอเนีย: แล้วจะต้องทำยังไงถึงจะผนึกจักรวาลได้คะ
เอลลัก: ฉันต้องรวบรวมเศษเสี้ยวให้ครบ 3 ส่วน ซึ่ง…อยู่ตรงหน้าฉันแล้ว
โอเนีย: แล้วในตัวฉันมีกี่ส่วนเหรอคะ
เอลลัก ใช้พลังของเธอแสดงภาพในตัวของ โอเนีย แสงสว่าง 2 ดวงลอยออกมาเพื่อให้เห็นส่วนประกอบที่ชัดเจน
เอลลัก: ในตัวของเธอมีเศษเสี้ยวอยู่ 2 ส่วน เธอคือ ส่วนที่ 2 และพลังที่เธอใช้คือส่วนที่ 3
โอเนีย: งั้นตัวคุณก็คือส่วนที่ 1 แล้วถ้าเกิดพวกเรารวมเข้าด้วยกันตอนนี้คุณก็จะได้พลังกลับคืนมาเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ
เอลลัก: ถูกต้อง แต่…ถึงอย่างงั้นพลังมันก็ยังไม่สมบูรณ์ที่จะผนึกจักรวาล ยังไงก็ต้องได้พึ่ง เอเรบัส
โอเนีย: แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่ไปเจอกันอีกล่ะคะ
เอลลัก กรอกตาหลบและเงียบไม่ตอบสักพักก่อนจะหันมาแล้วพูดตอบกลับ
เอลลัก: เรื่องนี้ไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมเธอก็จะรู้เอง ว่าแต่ตัวเธอมีเรื่องสงสัยอะไรจะถาม
โอเนีย: ฉันอยากจะรู้ค่ะ พลังของพวกเราทั้งสองคือการสร้าง แต่…ฉันไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าฉันสร้างดาวอุลตร้าขึ้นมา
เอลลัก หัวเราะเบา ๆ
เอลลัก: เด็กอายุ 13 กับพลังระดับจักรวาลที่พึ่งได้ คงไม่ใช่เรื่องแปลก
สีหน้าของ โอเนีย เมื่อได้ยินทำให้เธออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย และภาพได้ตัดสลับไปที่ ตีอาห์ และ เอเรบัส
ตีอาห์: ท่านรู้ดีว่าหากไม่ผนึกจักรวาลผลจะเป็นอย่างไร เหตุใดท่านจึงไม่อยากทำล่ะ
ตีอาห์ ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม แต่แฝงไปด้วยความกดดัน
เอเรบัส: เพราะข้ารักนาง…ข้าไม่ต้องการให้นางต้องจากข้าไปตลอดกาล
ตีอาห์: แต่ผลเสียที่เกิดขึ้นมันอาจจะแย่กว่าการที่ท่านต้องแยกกับนางแต่สุดท้ายยังคงอยู่เคียงกัน หรืออาจแย่กว่าในตอนที่ท่านทั้งคู่ต่างสลายไปในครั้งนั้น
ภาพย้อนกลับไปในตอนที่ทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกัน ในยามว่างของ เอลลัก เธอมักจะชอบสร้างดวงดาวเล็ก ๆ ขึ้นมาไว้ประดับความว่างปล่าว เธอเสกสร้างชีวิตเล็ก ๆ ไว้ในดาวดวงน้อยของเธอ พร้อมชวนให้ เอเรบัส มาชมผลงาน แต่เขากลับทำท่าทางไม่สนใจ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังเก็บดวงดาวนี้เอาไว้ และได้พูดคุยกับ เอเรบัส
เอลลัก: ท่านลองดูสิ นี่ยังแค่ดาวดวงเล็ก ๆ ดวงเดียวยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าเกิดว่า…
เอเรบัส รีบเอานิ้วมาจุปากของเธอเอาไว้
เอเรบัส: เทพีแห่งแสง…ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ถ้าเกิดเจ้าคิดจะสร้างจักรวาลจริง ๆ เจ้าก็รู้ดีว่ามันจะเป็นยังไง
เอลลัก: แต่ท่าน…
เอเรบัส: เจ้าจะหายไปตลอดกาล…และข้าก็จะต้องจมปักอยู่ในความมืดเพียงคนเดียว
เอลลัก: แต่ก่อนที่ข้าจะทำอย่างงั้นได้ก็ต้องได้ท่านช่วยก่อนสิ เศษเสี้ยวในตัวของพวกเราต้องรวมเป็นหนึ่ง แม้ตัวจะไม่อยู่แต่ข้าจะอยู่กับท่านทุกที่นะ
เอเรบัส: ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าไปหรอก…
เอลลัก: แต่ถ้าเกิดเป็นอย่างงั้นพวกเราทั้งคู่ก็จะสลาย จะมีแต่ความไม่มีอะไร ท่านจะเอาแบบนั้นจริง ๆ หรือ
เอเรบัส เบือนหน้าหนี เอลลัก เพราะความน้อยใจ จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3000 ปี เอลลัก ที่สร้างดาวขึ้นมาเพื่อแก้เหงาจนกลายเป็นดาวเคราะห์หลายพันดวง วันหนึ่งดาวดวงแรกที่เธอสร้างขึ้นกลับกลายมีอารยธรรมขึ้นมากลายเป็น ดาวเคราะห์แห่งแม่มด จุดเริ่มต้นการกำเนิดของแม่มดแห่งคำพยากรณ์ เอลลัก เมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตจึงรีบไปบอกให้ เอเรบัส รู้ด้วยความดีใจ
เอลลัก: ท่าน เอเรบัส มาดูผลงานของข้าสิ
เอเรบัส: นี่มัน…สิ่งมีชีวิตที่เจ้าสร้างขึ้นมางั้นเหรอ
เอลลัก พยักหัวด้วยความดีใจ แต่ในอีกด้านมันทำให้ เอเรบัส เป็นกังวลหนักกว่าเดิม
เอลลัก: พวกเราลองไปเยี่ยมชมดาวดวงนี้กันเถอะท่าน
ทั้งคู่ย่อส่วนขนาดให้ตนเองเล็ก เมื่อเข้าไปก็เห็นสิ่งมีชีวิตเดินเผล้นพล่านเต็มไปหมด พลังของดาวดวงนี้ขับเคลื่อนด้วยเวทมนตร์ประชากรในดาวจึงมีความสามารถหลากหลาย แต่เมื่อเดินชมไปเรื่อย ๆ ก็ได้พบกับแม่มดตนหนึ่งที่กำลังพยากรณ์ทำนายอนาคตให้กับแม่มดคนอื่น ๆ เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้ แม่มดที่กำลังหลับตาพยากรณ์จู่ ๆ ก็ได้พูดขึ้นมา "เงาแห่งความมืดจะกลืนกินจักรวาล แสงหนึ่งเดียวที่ส่องสว่างได้ในความมืด คือแสงจากผู้เริ่มต้น และความปรองดองจะโอบกอดจักรวาล…"
เมื่อได้ยิน เอเรบัส จึงได้รีบชวนให้ เอลลัก ออกไปจากดาวดวงนี้อย่างเร่งด่วน
เอเรบัส: ข้าขอให้เจ้าพาข้าออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไป แม่มดคนนั้นก็ได้กล่าวคำนึงออกมา
ตีอาห์: โปรดจำชื่อนี้ไว้ นามของข้าคือ ตีอาห์ ท่าน…ไม่สามารถหนีชะตาได้
เอเรบัส กำหมัดแน่นก่อนจะพา เอลลัก ออกจากดาวด้วยความโมโห
เอลลัก: ท่านอย่าสนใจคำพูดของนางเลย นางคงไม่ได้หมายถึงพวกเรา
เอเรบัส: ต่อไปนี้ข้าขอสั่งให้เจ้าเลิกสร้างดาวบ้า ๆ พวกนี้!
ด้วยความโกรธ เอเรบัส จึงพุ่งตัวไปที่ดาวต่าง ๆ ที่เทพแห่งแสงเป็นคนสร้างและทำลายมันอย่างไร้เยื่อใย ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมากและขอร้องให้เขาหยุด
เอลลัก: เอเรบัส ข้าข้อร้องท่านหยุดเถอะนะ!
เขาไม่ฟังคำพูดของเธอและมุ่งทำลายดวงดาวจนเกือบหมด และดาวสุดท้ายที่เหลือนั้นคือดาวแม่มดที่อยู่ข้างหลังเทพีแห่งแสง
เอลลัก: ข้าของร้องท่าน…นี่คือดาวดวงแรกที่ข้าสร้างขึ้นมา
เอเรบัส: เทพีแห่งแสงสว่างข้าขอร้องให้เจ้าหลบไปให้พ้นทาง
เธอส่ายหัวพร้อมกับเอาตัวบังดาวเอาไว้ แต่ด้วยความโกรธที่มีต่อดาวดวงนี้มากกว่าดวงไหน ๆ เขาไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปจัดการกับดวงดาวพร้อมกับ…ตัวของเทพีแห่งแสงสว่างด้วย
เอเรบัส: เอลลัก…
ดาวแม่มดค่อย ๆ ล่มสลายไปพร้อมกับเทพีแห่งแสงสว่าง ตัวของนางค่อย ๆ แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวสามส่วน เอเรบัส ที่เห็นคนรักสลายไปต่อหน้าต่อตาจึงได้ทำลายตัวเองตามไป พลังงานของทั้งคู่ได้เกิดการระเบิดและรวมกันกลายเป็นพลังงานที่สร้างจักรวาลจำลองนี้ขึ้นมา
แต่ถึงดาวแม่มดจะสลายไปแต่บุคคลที่ยังเหลือรอดเพียงผู้เดียวนั่นคือ ตีอาห์ ที่ลอยเคว้งคว้างไม่มีจุดมุ่งหมายนานนับหลายล้านปีจนเกิดดาวเคราะห์ต่าง ๆ และทันใดนั้นเองภาพได้ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน
เอเรบัส: สิ่งที่ข้าทำไปโดยขาดสติ ข้าไม่อาจยอมรับมันได้…
ตีอาห์: ข้าเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรสะ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบ
เอเรบัส: ข้ามีเรื่องสงสัย สิ่งที่เจ้าพูดในตอนนั้นมันหมายความว่ายังไง
ตีอาห์: ไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นจากพันธนาการของโชคชะตาได้ แม้นจะเป็นผู้ถือกำเนิดของจักรวาลเองก็ตาม เอเรบัส ข้าขอถามท่านกลับคืนบ้าง
แม้คำตอบของ ตีอาห์ จะไม่ชัดเจนและทำให้เขาคับข้องใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ยอมตอบคำถามให้ ตีอาห์
เอเรบัส: เจ้าอยากรู้อะไร
ตีอาห์: เหตุใดท่านจึงต้องโกหก โอเนีย ด้วยว่าท่านกับเทพีแห่งแสงสว่างล้วนต่อสู้กัน แทนที่จะบอกความจริงว่าเป็นยังไง
เอเรบัส: เจ้าคงไม่อยากบอกให้คนที่เจ้ารักรู้…ว่าตัวเจ้าเองเป็นคนทำร้ายเขา อีกอย่างความทรงจำเก่าของนางก็ไม่เหลือแล้ว ข้าจะป้อนข้อมูลที่ทำให้ข้าต้องรู้สึกผิดน้อยที่สุดลงไปดีกว่าทำให้นางต้องรังเกียจข้าอีก
ตีอาห์: แต่การที่ท่านพูดไปแบบนั้นมันก็เหมือนเป็นการใส่ร้ายเทพีแห่งแสงสว่าง ทั้งที่นางไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
เอเรบัส: จักรวาลต่างมองข้าเป็นผู้ร้ายอยู่แล้ว นางก็คงจะคิดว่าข้าต้องเป็นคนเริ่มก่อน…แต่เดี๋ยว
แต่เมื่อกำลังสนทนาอยู่นั้น เอเรบัส ได้นึกย้อนกลับไปกับชื่อที่ ตีอาห์ เรียก
เอเรบัส: เมื่อกี้เจ้าพูดว่า…โอเนีย นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชื่อใหม่ของนางคืออะไร
ตีอาห์: เหตุใดเล่าที่คนที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่แบเบาะแถมตั้งชื่อให้ จะไม่รู้ชื่อนาง
ภาพตัดสลับไปที่ โอเนีย และ เอลลัก ที่เธอกำลังบอกความจริงหลาย ๆ อย่างให้ โอเนีย ได้รู้ เอลลัก ได้แสดงให้เห็นว่าความจริงแล้ว สร้อยคอรูปพระจันทร์ที่อยู่กับเธอมาโดยตลอดนั้น เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในชีวิตของ โอเนีย ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
เอลลัก: นี่แหล่ะสิ่งที่ทำให้ฉันรู้ทุกอย่างที่เธอรู้ เอาเป็นว่าเราค่อยมาคุยกันใหม่ ฉันคงจะทำให้เธอปวดหัวมากพอแล้ว…
เมื่อ เอลลัก พูดจบภาพตรงหน้าค่อย ๆ บิดเบือนเหมือนโดนดูดเข้าไปในหลุมดำจน โอเนีย รู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ที่เดิม เธอเอามือกุมไว้ที่สร้อยคอพระจันทร์ ก่อนที่ เมบิอุส จะวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความเร่งรีบ เขาย่อขนาดลงมาและนั่งข้าง ๆ เธอ
เมบิอุส: คุณ โอเนีย! อยู่นี่เองเหรอครับ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงรนรานและอาการเหนื่อยหอบ
โอเนีย: เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ
เมบิอุส: ผมเข้ามาดูคุณ โอเนีย เมื่อกี้ก็ไม่เห็น ผมนึกว่าคุณ โอเนีย จะหายไปที่อันตรายอีก คุณ โอเนีย ไปไหนมาเหรอครับ
โอเนีย: ฉัน…
เธอนิ่งเงียบสักพัก จ้องมองหน้าอันไร้เดียงสาของเขาก่อนจะพูดขึ้นมาเรื่องของขวัญ
โอเนีย: ไม่มีอะไรหรอก นี่…เมบิอุส ของขวัญวันเกิดที่เธออยากได้เป็นพิเศษมีคิดไว้ในใจบ้างรึยัง
เมื่อได้ยินคำถามเขากอดอกพร้อมกับใช้มือนึงเคาะไปที่คางและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยทำท่าคิด
เมบิอุส: อืม…ผมไม่รู้จะขออะไรดี เอาเป็นว่าแค่ขอให้คุณ โอเนีย อยู่กับผมไปนาน ๆ แค่นั้นก็พอแล้วครับ
คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เรื่องราวร้อยแปดพันเรื่องในใจของเธอหายไปทันที
โอเนีย: ถ้าพวกราช่วยกันรักษาจักรวาลให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้ ฉันจะชวนเธอไปเที่ยวที่โลกบ่อย ๆ เลย
เมบิอุส ถึงจะเห็นสีหน้าของเธอที่ยิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงข้างในกลับสั่นคลอนเล็กน้อยจึงทำให้เขารู้สึกกังวล
เมบิอุส: คุณ โอเนีย เป็นอะไรเหรอครับ มีเรื่องลำบากใจอะไรรึเปล่าครับ
เมื่อถูกถามรอยยิ้มที่มีก็ค่อย ๆ หายไป เพื่อไม่ให้เขาสงสัยเธอจึงอ้างอยากจะออกไปเดินเล่น
โอเนีย: เมบิอุส ฉันขออกไปเดินเล่นหน่อยนะ
เมบิอุส: ให้ผมไปด้วยมั้ยครับ
โอเนีย: ขอบคุณที่เธอเป็นห่วงนะ แต่เดี๋ยวฉันก็กลับ ขอใช้เวลาส่วนตัวนิดนึง
เธอบินออกจากห้องไปหาที่เงียบ ๆ และนั่งคิดเรื่องที่เผชิญมาในวันนี้ ยังมีข้อสงสัยหลายอย่างที่เธออยากจะรู้ และนึกย้อนไปที่คำพูดของ เอลลัก หากต้องการจะคุยก็ให้เรียกหา เธอจึงควักสร้อยคอที่อยู่ข้างในออกมา เธอหลับตาลง และลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบ เอลลัก ยืนอยู่ตรงหน้า
เอลลัก: ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันเร็วขนาดนี้ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ
โอเนีย: ฉันอยากจะมาถามให้แน่ใจ กับคำถามที่ฉันยังไม่ได้คำตอบ
เมื่อ เอลลัก ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเธอที่ดูกังวล เธอจึงเข้าไปกอด โอเนีย ก่อนจะกลับมาพูด
เอลลัก: ฉันรู้มันทำใจได้ยาก ที่เธอต้องมาแบกรับชะตาของจักรวาลนี้เอาไว้ ฉันจะตอบคำถามทุกอย่างให้เธอเอง
โอเนีย: ฉันอยากจะรู้ว่า ทำไม เอเรบัส ถึงไม่อยากให้คุณผนึกจักรวาลคะ
คำถามนี้เป็นเหมือนหนามที่ทิ่มใจเธอมาโดยตลอด ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้มันทำให้เธอเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยอมตอบ
เอลลัก: การผนึกจักรวาลเป็นการทำให้จักรวาลเกิดขึ้นจริงอย่างถาวร แม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการถ้าผนึกเอาไว้ก็จะกลายเป็นการมีตัวตนจริงทันที และแน่นอนมีได้ก็ต้องมีเสีย หน้าที่ติดตัวตั้งแต่ที่ฉันเกิดคือการสร้าง ฉันต้องสละตัวเองเป็นอนันต์กาลเพื่อผนึกจักรวาลทั้งหมด แต่ในทางเดียวกัน เอเรบัส เทพแห่งความมืด ต้องอยู่ปกครองวัฏจักรอย่างเดียวดาย เพราะเหตุผลนี้แหล่ะ
โอเนีย พยักหน้าด้วยความเข้าใจและถามคำถามในใจของเธออีกคำถาม
โอเนีย: ฉันสงสัยอีกอย่างค่ะ ฉันที่เป็นแค่เศษเสี้ยวที่กระจายออกมาจากตัวคุณ ถ้าเกิดรวมเข้าไปในตัวคุณแล้วฉันจะหายไปมั้ยคะ
สีหน้าของ เอลลัก เปลี่ยนและพยักหน้าเบา ๆ เธอเข้าใจในสิ่งที่ โอเนีย ถามและจุดประสงค์ในการถาม แต่ก็พูดปลอบใจทิ้งท้าย
เอลลัก: ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอนะ แต่ฉันมั่นใจว่าตัวตนของเธอจะไม่หายไปไหนมันจะยังอยู่ทุกที่ ที่เคยอยู่ตลอดไป เธอเก่งที่สุดแล้ว เธอรู้มั้ยว่าการผนึกจักรวาลไม่ได้แค่ช่วยในการมีตัวตน แต่ยังช่วยซ่อมแซมจักรวาลทั้งหมด
โอเนีย: จริงเหรอคะ…แต่ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีฉันแค่คนเดียว…
เอลลัก: เธอรู้จัก จักรวาลคู่ขนานมั้ย…ผู้คนเชื่อว่าในอีกจักรวาลอื่น ๆ จะมีตัวตนของพวกเขาอยู่อีกมากมาย แต่ว่า…การมีอยู่ของเธอไม่สามารถแยกออกได้อีก เนื่องจากเธอคือเศษเสี้ยวเพียงหนึ่งเดียว ของเทพีแห่งแสงสว่างที่มีเพียงหนึ่งเดียวของจักวาลทั้งปวง เธอน่ะคือคนที่พิเศษมากเลยนะรู้ตัวมั้ย
โอเนีย เงยหน้าอย่างช้า ๆ และยิ้ม เอลลัก พร้อมเช็ดน้ำตาให้เธออย่างนุ่มนวล
เอลลัก: แต่ตอนนี้เวลาของจักรวาลชั่วคราวเหลือไม่มากแล้ว ต้องรีบโน้มน้าว เอเรบัส และจบให้ไวที่สุด
โอเนีย: ค่ะ…ขอบคุณที่ตอบนะคะ ฉันขอตัวก่อน
ทั้งคู่กอดกันก่อนภาพตรงหน้าของเธอจะบิดเบือนอีกครั้ง เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกครั้งเธอบินกลับไปที่พักของเธอ และเห็น เมบิอุส กำลังนั่งรอเธออย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องเธอได้หันไปจ้องมองเขาโดยไม่ให้เขาสังเกตพร้อมความคิดมากมาย ก่อนที่จะเดินเข้าไป เมบิอุส ได้สังเกตเห็นเธอทำให้เขารีบวิ่งเข้ามาหาและไม่มีการบอกกล่าวใด ๆ
เขาได้กอดเธอโดยทันทีทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าต้องทำให้ เมบิอุส เป็นห่วง เธอกะจะพูดให้เขารู้ว่าเธอไม่เป็นอะไร แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยเขาได้เอานิ้วจุปากของเธอเบา ๆ
เมบิอุส: ผมรู้ว่าอะไรที่จะช่วยให้คุณ โอเนีย รู้สึกดีขึ้นได้
เขาเปลี่ยนจากท่ากอดเป็นท่าอุ้มเธอโดยที่เธอไม่ได้ตั้งตัวและพาบินออกไปข้างนอกด้วยความเร็วทำให้เธอตกใจก่อนจะหัวเราะออกมา
เมบิอุส: หลับตาเอาไว้นะครับ
เขากระซิบเบา ๆ ข้างหู โอเนีย เธอหัวเราะคิกคักก่อนจะหลับตาลง
โอเนีย: คราวนี้มีอะไรพิเศษอีกล่ะ
เมบิอุส: เป็นความลับครับ…
คำพูดชวนตื่นเต้นของเขาทำให้เธอยิ้มออกมามากขึ้น เขาได้ใช้พลังข้ามมิติไปยังสถานที่หนึ่ง และเมื่อไปถึงเขากระซิบได้บอกให้เธอลืมตาขึ้นมา
เมบิอุส: ถึงแล้วครับ ลืมตาได้เลย
เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และต้องตะลังกับภาพตรงหน้าที่เป็นดาวเคราะห์สีฟ้าสวยงามที่ยังไม่ถูกทำลาย เพราะเป็นดาวที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตแต่สามารถส่องแสงได้จากอัญมณีในดวงดาว แสงของมันเจิดจรัสไปทั่ว รัศมีของมันกว้างเป็นหลายกิโล โอเนีย จ้องมองดาวดวงนี้ด้วยความตื้นตันใจ เมบิอุสปล่อยเธอลงจากท่าอุ้มและให้เธอบินเคียงข้างเขา
โอเนีย: คิดยังไงพาฉันมาที่นี่เนี่ย
เธอยิ้มพร้อมกับถามและสายตาของเธอที่ไม่สามารถละจากดาวดวงนี้ได้เลย
เมบิอุส: คุณ โอเนีย รู้มั้ยครับ ดาวดวงนี้น่ะชื่อเหมือนกับคุณเลย
เธอมองหน้าเขาก่อนจะหัวเราะออกมา
โอเนีย: ดาวดวงนี้ชื่อ โอเนีย เหรอ! มหัศจรรย์จังเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
ทันใดนั้นเองเขาได้กุมมือของเธอเอาไว้ทำให้เธอหน้าแดงเล็กน้อย
เมบิอุส: ความหมายของมันคือ "แสงแห่งพระเจ้า" ไม่มีแสงจากดาวดวงไหนส่องสว่างให้มัน แต่เป็นแสงที่ออกมาและเฉิดฉายจากตัวมันเอง เหมือนกับคุณ โอเนีย ไงครับ
ช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดของพวกเขาทั้งคู่ และเป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจลืมลงได้ ภาพค่อย ๆ ซุมออกจากทั้งคู่และกลายเป็นภาพดำสนิดตัดไปที่ เอเรบัส กำลลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ มือข้างหนึ่งค้ำคางและอีกข้างที่นิ้วชี้กำลังเคาะเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาหันไปมอง ตีอาห์ ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่กับลูกศิษย์ทั้งสอง และทันใดนั้นเองเขาก็ได้เอ่ยถามบางอย่างขึ้น
เอเรบัส: จริงใช่มั้ยที่เจ้าบอกนางไม่จำเป็นต้องพึ่งข้าเพื่อผนึกจักรวาลนี้ก็ได้
ตีอาห์: เป็นเรื่องจริง
เอเรบัส กำหมัดและทุบขอบบัลลังก์ก่อนจะหันไปพูดกับ ตีอาห์
เอเรบัส: เป็นไปไม่ได้…นางต้องพึ่งข้า เจ้าก็เป็นคนพูดไม่ใช่หรือ
ตีอาห์: เป็นไปได้อยู่แล้วท่าน ระดับเทพีแห่งแสงสว่างที่เกิดใหม่มีพลังมากกว่าร่างเก่าของนางเสียอีก
เอเรบัส: ข้ารู้ว่าเจ้าโกหก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพลังของนางแข็งแกร่งปานนั้น
ตีอาห์: มีหลายอย่างที่ท่านยังไม่รู้ ท่านเห็นกองทัพที่บุกเข้ามาหาท่านตอนนั้นได้มั้ย พวกเขาทั้งหลายล้วนมีดาวที่เกิดขึ้นมาจาก พลังของนางและตัวของพวกเขาเองก็มาจากตัวของนางทั้งนั้น
เอเรบัส: แล้วก่อนที่นางจะสร้างดาวกับพวกจอมยุ่งพวกนั้นขึ้นมา นางรู้ได้ยังไงว่าพวกมันมีรูปร่างหน้าตายังไง
ตีอาห์: สิ่งที่นางสร้างก็มาจากสิ่งที่นางเห็นบนโลก เกิดจากความชอบและรักในจิตใจของนาง แต่…ขุมพลังที่มากที่สุดจากสิ่งที่นางได้สร้างขึ้นมา คือสิ่งแรกที่นางสร้าง
เอเรบัส: แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งแรกที่นางสร้าง
ตีอาห์: คนที่นางพร้อมจะปกป้อง และเป็นคนที่พร้อมจะปกป้องนาง
เมื่อได้ยินทำให้ เอรบัส นึกย้อนไปในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของ โอเนีย และสุดท้ายก็เพียงคำตอบเดียวที่ชัดเจนที่สุด
เอเรบัส: เจ้าตัวแดงนั่น…
ตีอาห์: ตอนนี้นางยังไม่รู้ ว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวนางมีพลังมากแค่ไหน แต่คงอีกไม่ช้า…
ก่อนที่เธอจะได้พูดจบ เอเรบัส รีบลุกขึ้นจากบัลลังก์พร้อมเตรียมพร้อมให้ อะแธ เตรียมกองทัพ ตีอาห์ ที่เห็นก็ยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาหา และบังคับถามเธอ
เอเรบัส: บอกข้ามา…นางอยู่ไหน
เอเรบัส ยกตัวเธอจนลอยขึ้น ทำให้ลูกศิษย์ทั้งสองตกใจแต่เธอก็ยกมือบอกให้ทั้งคู่อยู่เฉย ๆ ด้วยความใจเย็น เธอไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อ เอเรบัส ที่กำลังโกรธเกรี้ยวสักนิด
ตีอาห์: หากท่านประสงค์จะรู้ข้าก็จะบอกท่าน แต่ท่านต้องปล่อยข้าลงไปก่อนและทำตามสัญญา
เอเรบัส ค่อย ๆ ปล่อยเธอลงที่พื้นเบา ๆ เมื่อนั้นเธอได้แสดงภาพให้เขาเห็นตรงหน้า ดาวสีเขียวมรกตส่องแสงสง่างาม นครแห่งแสงที่เนบิวลาที่เรียกขานนามว่า Nebula M-78 เมื่อเขาได้รู้ที่อยู่แล้ว เขาจึงสั่งให้ อะแธ จัดเตรียมกองทัพ แต่แล้ว ตีอาห์ ก็ได้ห้ามเอาไว้
ตีอาห์: หยุด…ในข้อสัญญาที่ข้าจะบอกให้ท่านทราบคือ หากข้าบอกที่อยู่ของนางให้ชัดเจนแล้ว ท่านต้องไปคุยและเจรจากับนางโดยปราศจากกองทัพทั้งหลายของท่าน อีกอย่างนี่คือผลประโยชน์ของตัวท่านเอง ท่านทำให้นางเจ็บช้ำมามากพอแล้ว
เอเรบัส: ข้าต้องทำให้นางรู้ว่าสิ่งที่ข้าตัดสินใจไม่ทำเป็นเพราะนาง เป็นเพราะความรักที่ข้ามีต่อนาง ตั้งแต่ในความคิดแรกที่ข้าจะกลืนกินจักรวาลจนไปถึงสงคราม ทุกอย่างข้าต้องยกเลิกก็เพราะนาง
ตีอาห์: เอเรบัส ท่านควรจะรู้จักเทพีแห่งแสงสว่างเป็นอย่างดี ท่านคงจะรู้ว่านางเป็นคนแบบไหน ข้ามั่นใจว่ายังไงถ้าท่านลองคุยกับนางโดยสันติ นางจะใจอ่อนให้ท่านเป็นแน่
เอเรบัส: ข้าจะลองทำตามที่เจ้าแนะนำก็แล้วกัน นำทางข้าไปได้เลย
ทันใดนั้นเองเมื่อ อะแธ กำลังจะตาม เอเรบัส ไป เขาได้ถูกสั่งห้ามตามไปด้วย พร้อมถูกสั่งให้อยู่เฝ้าที่นี่
เอเรบัส: แกอยู่เฝ้าที่นี่ห้ามตามข้ามาเด็ดขาด
อะแธ: ขอรับ…
เอเรบัส และ ตีอาห์ ได้ออกเดินทางอย่างรวดเร็วปล่อยให้ลูกศิษย์ทั้งสองอยู่กับ อะแธ และในระหว่างเดินทาง เอเรบัส ได้สังเกตเห็นว่าจักรวาลบางส่วนที่อยู่ห่างไกลโพ้นมีลักษณะเหมือนกับค่อย ๆ สลายไปในความมืด ซึ่งมันก็ทำให้เขาสงสัยเพราะนั่นไม่ใช่ฝีมือของเขา
เอเรบัส: เกิดอะไรขึ้นกับจักรวาลส่วนนั้น
ตีอาห์ได้หันไปมองพร้อมกับทำหน้าตาตกใจ
ตีอาห์: มาแล้วสินะ…
เขามองหน้า ตีอาห์ ด้วยความสับสนก่อนที่เธอจะหันมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
ตีอาห์: จักรวาลกำลังหายไป เหมือนที่ข้าทำนายเอาไว้ไม่ผิด เวลาเหลืออีกไม่มาก
ในจังหวะที่ ตีอาห์ และ เอเรบัส กำลังจะเดินทางไปถึง เมบิอุส และ โอเนีย ที่กำลังเดินทางกลับได้มาประจบกันพอดี เหมือนถูกชะตาลิขิตเอาไว้ให้เจอ ทันทีที่พวกเขาเจอกัน ทั้ง 4 คนรู้สึกประหลาดใจ และทางฝั่งของ เมบิอุส ไม่พูดพล่ำทำเพลงพยายามพา โอเนีย หนีเข้าไปที่นครแห่งแสง แต่ ตีอาห์ ได้ตะโกนบอกให้ทั้งคู่หยุดและฟังเขา
ตีอาห์: โอเนีย! เมบิอุส! เขาไม่ได้มาร้าย โปรดหยุดฟังเขาก่อน!
โอเนีย และ เมบิอุส เมื่อได้ยินชื่อที่เธอเรียกทำให้พวกเขาหยุดและหันกลับไปมองพร้อมกับความสงสัยว่ารู้ชื่อของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาจึงตัดสินใจบินกลับไปหา เอเรบัส และ ตีอาห์ และในขณะเดียวกันนั้นเอง โอเนีย ได้เห็นหน้าของ ตีอาห์ ก็ตกใจ เพราะนั่นคือคุณยายคนนั้นที่เธอเคยเจอ
เมื่อทั้ง 4 คนได้มาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว เอเรบัส จึงได้เป็นผู้เริ่มสนทนา
เอเรบัส: เทพีแห่งแสง หรือ โอเนีย…ข้าขอเรียกเจ้าว่าเทพีแห่งแสงก็แล้วกัน
เมบิอุส เมื่อได้ยินสิ่งที่ เอเรบัส เรียกเธอเขารีบหันไปมองหน้าของเธอด้วยความตกใจ โอเนีย เองเธอก็หันไปมองหน้าของเขาอย่างช้า ๆ และสีหน้าที่เป็นกังวล เธอกุมมือของเขาไว้พร้อมกระซิบบอก
โอเนีย: ใจเย็น ๆ นะ…
เขาไม่พูดอะไรทำได้เพียงพยักหัว ก่อนที่ เอเรบัส จะพูดต่อ
เอเรบัส: ข้าจะเข้าประเด็นหลักเลยก็แล้วกัน…ข้ามาที่นี่เพื่อ…ขอให้เจ้าไปอยู่กับข้า ข้าอยากจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเรากับเจ้าให้มากที่สุด
โอเนีย: หมายความว่ายังไงคะ…ช่วงเวลาสุดท้าย
เอเรบัส: ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าผนึกจักรวาลเด็ดขาด! ไหน ๆ พวกเราก็ต้องหายไปด้วยกันหมดนี่ สุดท้ายข้าขอแค่ให้ได้อยู่กับเจ้าก็พอ
ตีอาห์: เอเรบัส…ท่านรู้ตัวมั้ยว่าพูดอะไรออกไป
เอเรบัส: เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ให้ข้าทำสงคราม ข้าก็จะไม่ทำสงคราม แต่แลกกับที่เทพีแห่งแสงสว่างมาอยู่กับข้า
เมบิอุส เมื่อได้ยินก็รู้สึกโมโหจึงพูดออกมาเสียงดัง
เมบิอุส: ฉันไม่ยอมให้แกเอาคุณ โอเนีย ไปหรอก! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าบออะไรก็ช่าง ฉันจะไม่มีทางส่งคนที่สำคัญให้แกหรอก!
เอเรบัส คว้ามือของ โอเนีย และพยายามดึงเธอเข้ามา
เอเรบัส: เจ้าตัวแดงจอมจุ้นจ้าน อย่าบังอาจมาแตะต้องเจ้าสาวของข้า นางเป็นคู่ครองของข้ามาตั้งแต่เจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้นเองร่างกายของ เมบิอุส ได้ลุกเป็นเปลวเพลิงรอบกาย กลายเป็นรวดลายเปลวไฟหรือร่าง Burning brave แต่เมื่อ เอเรบัส ได้เห็น กลับหัวเราะเยาะใส่
เอเรบัส: เจ้านี่โกรธจนไฟลุกเลยงั้นเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า
เมบิอุส ปล่อยมือจาก โอเนีย และใช้หมัดลูกไฟซัดเข้าไปที่ เอเรบัส เต็ม ๆ จนทำให้ร่างของเขากระเด็น ตีอาห์ที่เห็นสถานการณ์จึงรีบสั่งให้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกันแต่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครฟัง
เอเรบัส ที่พยายามจะสู้กลับนึกขึ้นได้ว่าพลังในร่างกายยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ และยิ่งถูกโจมตีอาจทำให้สภาพแย่ลง ทันใดนั้นเองในขณะที่ทุกคนกำลังเผลอ เขาได้คว้าตัวของ โอเนีย ด้วยความรวดเร็ว
โอเนีย: ปล่อยฉันนะ!
เอเรบัส ที่กำลังจะหนีไปพร้อม โอเนีย โดน เมบิอุส บินตามมาอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่ เอเรบัส กำลังจะเปิดประตูมิติสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาไม่สามารถกลับไปมิติของตัวเองได้ ไม่ว่าจะใช้พลังกี่ครั้งประตูมิติก็ไม่สามารถเปิดออก
และแล้ว เมบิอุส ก็ได้ตามมาทันเขาพุ่งตัวใส่ เอเรบัส ด้วยความเร็วสูงเขาคว้าตัวของ โอเนีย ไว้ได้อย่างปลอดภัย หลังจากนั้นเขาได้ปล่อย โอเนีย และเพิ่มความเร็วที่มากพอจะสร้างระเบิดพลังมหาศาลพุ่งเข้าชนตัว เอเรบัส อย่างจัง
ตัวของ เอเรบัส ที่โดนแรงกระแทกนั้นแทบจะสลาย แต่พลังระดับจักรวาลจะหยุดอยู่แค่นี้จริงหรือ และแน่นอนสิ่งที่ อะแธ ทำได้ เอเรบัส ก็ต้องทำได้ เมื่อเขานิ่งอยู่สักพักจู่ ๆ ก็ได้หัวเราะออกมา เอเรบัส ค่อย ๆ เงยหน้าพร้อมกับพลังในมือที่ เมบิอุส โจมตีใส่ ไม่นานพลังสีส้มทองได้เปลี่ยนเป็นสีดำและกลับคืนเข้าร่างของ เอเรบัส ถึงแม้พลังจะได้คืนมาเล็กน้อยแต่ก็ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้บ้าง
แต่หลังจากนั้นเขาได้กลับไปสงสัยถึงเรื่องของประตูมิติที่เขาไม่สามารถเปิดออกได้
เอเรบัส: เกิดอะไรขึ้นกับประตูมิติของข้า…
เมื่อสัมผัสดูก็พบว่า มีใครบางคนสะกดประตูไม่ให้เปิดเอาไว้ เขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของใคร ด้วยความโกรธ เอเรบัส ได้ใช้พลังเพิ่มความเร็วพุ่งกลับไปหาทั้ง 3 คนก่อนที่พวกเขาจะหนี แต่ในรอบนี้เขาไม่ได้มุ่งไปหา เมบิอุส หรือ โอเนีย แต่เป็น ตีอาห์ แทน
คอของ ตีอาห์ ถูก เอเรบัส บีบไว้แน่นโดยไม่ทันระวัง เธอพยายามเอามือมาขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล
เอเรบัส: ร้ายนักนะนางแม่มดแก่
โอเนีย เมื่อเห็น ตีอาห์ ที่กำลังโดนบีบรัดอยู่นั้น ได้หันหลังกลับไปมองและพยายามจะไปช่วย แต่ ตีอาห์ หันมาและยิ้มให้เธอ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปและได้พูดบางอย่างด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
ตีอาห์: ติดกับแล้วล่ะท่าน…
เธอได้เสกไม้เท้าวิเศษของเธอออกมาและใช้มันแทงไปกลางอกของ เอเรบัส เขามองดูไม้เท้าที่ทิ่มแทงกลางอกของเขาและไม่สามารถขยับไปไหนได้ เธอพยายามดึงเศษเสี้ยวในตัวของเขาออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่มี แสงสว่างที่ออกมาจากตัวเขาค่อย ๆ สว่างมากขึ้นและดูเหมือนว่าเศษเสี้ยวทั้งสามส่วนของ เอเรบัส กำลังจะออกมา
เอเรบัสที่เห็นดังนั้นจึงใช้มือควักไปที่ท้องของ ตีอาห์ อ่ย่างจังซึ่งในอีกด้านมิติหนึ่ง ลูกศิษย์ทั้งสองของ ตีอาห์ และ อะแธ ต่างสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายของทั้งคู่
อีออส: อาจารย์กำลังแย่!
อะแธ: เศษเสี้ยวในตัวของท่าน เอเรบัส!
อีออส: อีออสา เราต้องไปช่วยอาจารย์นะ!
อีออสา: แต่แบบนี้จะไม่ผิดแผนเหรอ
เมื่อ อะแธ ได้ยินทั้งสองคุยกันจึงรีบหันไปถามทันที
อะแธ: แผนที่พวกเจ้าหมายถึงคืออะไร
ภาพตัดกลับไปที่ ตีอาห์ และ เอเรบัส ที่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างอาการแย่ไม่แพ้กัน
เอเรบัส: ดูสิว่าลูกศิษย์เจ้าจะทนผนึกประตูมิติและปล่อยให้อาจารย์ของตัวเองทรมานได้นานแค่ไหน
ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่เนื่องด้วยประสบการณ์การเป็นแม่มดมานาน ความเจ็บปวดแค่นี้ไม่อาจสะทกสะท้านต่อเธอได้
ตีอาห์: ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะส่งต่อให้พวกเขาอีกแล้ว ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องห่วงพวกนางอีก เพื่อเทพีแห่งแสงสว่างและจักรวาลที่ให้ข้าอยู่มาจนถึงตอนนี้ ข้ายอมสละชีวิตเพื่อมัน
เอเรบัส: ตีอาห์! เจ้ามันยโสยิ่งนัก!
ตอนนี้ร่างกายของ ตีอาห์ กำลังสลายไปอย่างช้า ๆ และไม้เท้าวิเศษที่ดึงเศษเสี้ยวได้เกือบจะสำเร็จ แต่แล้วบางอย่างก็ได้ปรากฏออกมา เมื่อหันไปมองก็พบเห็น อะแธ และ ลูกศิษย์ของเธอ เอเรบัส ยิ้มเยาะเย้ยและหัวเราะ และในจังหวะที่ ตีอาห์ เผลอ เขาได้ดึงไม้เท้าออกและหักมันเป็นสองท่อน ทำให้เศษเสี้ยวกลับเข้าไปในร่างกายเช่นเดิม
หลังจากที่หลุดพ้นแล้ว เอเรบัส ได้เขวี้ยงร่างของ ตีอาห์ ออกไปอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างงั้น เอเรบัส ก็ได้รับบาดเจ็บมากเช่นกัน อะแธ จึงรีบเข้ามาพยุงตัวของเขาเอาไว้ และในฝั่งของ ตีอาห์ ก็ได้ลูกศิษย์ทั้งสองมารับเอาไว้ เมื่อได้เห็นหน้าของลูกศิษย์เธอได้ถามคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
ตีอาห์: อีออส…อีออสา…ทำไมพวกเจ้าถึงทำเช่นนี้
อีออส: พวกเราทนเห็นอาจารย์เจ็บปวดไปมากกว่านี้ไม่ได้จริง ๆ
อีออสา: ทำไมท่านถึงไม่ให้พวกเราช่วย ทำไมถึงต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้คะ
ลูกศิษย์ทั้ง 2 กอดเธอพร้อมน้ำตา เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของลูกศิษย์ เธอจึงพูดกับพวกนางด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มันอบอุ่นของผู้เป็นอาจารย์
ตีอาห์: อาจารย์ฝากพวกเจ้าทั้งสอง ช่วยเหลือเทพีแห่งแสงสว่างด้วยนะ…
เมื่อสิ้นคำพูดเธอเอามือลูบแก้มของลูกศิษย์พร้อมกับยิ้มและค่อย ๆ สลายไปเป็นแสงในอ้อมแขนของลูกศิษย์ทั้งสองคน
อีออส/อีออสา: อาจารย์…
เมบิอุส และ โอเนีย ที่ยืนมองไม่อาจทนกับความโศกเศร้านี้ได้ ทำให้ โอเนีย ตั้งความปรารถนาเอาไว้ ว่าเธอจะต้องกอบกู้จักรวาลนี้คืนมาให้ได้ แม้แต่ Elluc ที่อยู่ข้างในสร้อยคอ ที่เธอแทบอยากจะออกไปช่วยแทบใจจะขาดก็ต้องเสียใจเช่นกัน ในฝั่งของ เอรเรบัส ด้วยท่าทางที่ดูไม่สามารถสู้ไหว อะแธ จึงแนะนำให้เขากลับไปฟื้นตัว
อะแธ: เอเรบัส ข้าว่าเราควรถอย
อะแธ กำลังเปิดมิติจะพาตัวของ เอเรบัส เข้าไปแต่ก็ถูกห้ามไว้ก่อน
เอเรบัส: ไม่…ถอยไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีเพียงแต่จะต้องนำตัวของเทพีแห่งแสงสว่างมาให้ได้
อะแธ: แต่ท่าน…ข้าเกรงว่าท่าน
เอเรบัส: เงียบสะ! ไปจัดตั้งกองทัพทั้งหมดมาที่นี่ ข้าจะทำลายดาวดวงนี้ให้สิ้นซาก
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าเหล่านักรบอุลตร้านับล้านค่อย ๆ บินเข้ามาหา เอเรบัส ทำให้เข้ารู้สึกประหลาดใจ เจ้าพ่ออุลตร้าได้ประกาศศักดาครั้งใหญ่เพื่อปกป้องจักรวาลนี้
เจ้าพ่ออุลตร้า: เหล่าพี่น้องอุลตร้าทั้งหลาย มาร่วมสู้เพื่อศึกครั้งนี้กันเถอะ!
ปรากฏว่าหลังจากที่ ตีอาห์ ได้สลายไปแล้ว ลูกศิษย์ทั้งสองของนางไม่รีรอเสียเศร้าโศกา แต่มุ่งหน้าเขาดวงดาวสีเขียวมรกต และป่าวประกาศเรื่องราวทั้งหมดให้ชาวอุลตร้าทั้งหลายได้รับทราบ เมื่อนั้นเจ้าพ่ออุลตร้าและกองทัพได้ตัดสินใจช่วยกันตั้งศึกรบครั้งนี้
เสียงเห่ร้องของชาวอุลตร้านับล้านปะทุขึ้น และแล้วกองทัพก็ได้จัดตั้งสำเร็จ เอเรบัส มองลงไปที่ดาวเคราะห์สีเขียวมรกตพร้อมกับกลุ่มชาวอุลตร้านับล้านที่พร้อมจะโจมตี แต่ไม่นานฝ่ายของ เอเรบัส ก็ได้โผล่ออกมาเช่นกัน เมื่อนั้นเขาได้ขยายร่างให้ใหญ่เทียบเท่ากับเหล่าอุลตร้าพร้อมกองทัพนับพันแถว แถวละพันคน มาประจันหน้ากัน
เจ้าพ่ออุลตร้า: มาจัดการให้จบกันเถอะ
สองฝ่ายได้เริ่มเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด สงครามจักรวาลที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น เมบิอุส และ โอเนีย ถูกสั่งให้อยู่ในที่ปลอดภัย ไม่ใช่เพราะความขลาด แต่ชาวอุลตร้าได้รู้แล้วว่าตัวตนของ โอเนีย แท้จริงคือ จักรวาลที่หมายถึงไม่ใช่เพียงจักรวาล แต่ยังหมายถึงผู้สร้างนั่นคือเทพีแห่งแสง
ในจังหวะชุลมุนของสงคราม เอเรบัส สั่งให้ อะแธ หาตัวของเทพีแห่งแสงสว่าง เมื่อเจ้าพ่ออุลตร้ารู้ดังนั้นจึงสั่งให้ทหารบางส่วนกันไม่ให้ อะแธ เข้าไปได้ แต่เนื่องด้วยพลังที่ถูกสร้างมาจากเทพแห่งความมืด จึงสามารถฝ่ากองทัพของเจ้าพ่ออุลตร้าได้อย่างง่ายดาย และดูเหมือนว่าเหล่าอุลตร้ากำลังจะเสียเปรียบ
ตัดภาพไปที่ทั้งคู่กำลังหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งซึ่งดูท่าทีว่าจะปลอดภัย
โอเนีย: ขอให้พวกเขาปลอดภัยและชนะด้วย…
เมบิอุส: ต้องชนะแน่นอนครับ…
ในขณะที่คุยกันก็ได้มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เมบิอุส ดึง โอเนีย เข้ามากอดไว้แน่นหัวใจของเธอเต้นดังเพราะความกลัวหรือ…เพราะอะไรกันแน่ เสียงฝีเท้านั้นย่างเข้ามาใกล้มากขึ้น และในที่สุดก็มีเสียงพูดออกมาว่า "เจอตัวแล้ว…"
อะแธ ตามหาพวกเขาเจอจนได้ มันพยายามโจมตี เมบิอุส เพื่อแย่ง โอเนีย มา แต่ก่อนที่จะถูกโจมตี มันก็ถูกบางอย่างยิงจากข้างหลัง ฮิคาริ เข้ามาช่วยทั้งคู่ไว้ได้ทันพอดีและดูเหมือนจะช่วยซื้อเวลาให้ทั้งคู่ได้พอสมควร
ฮิคาริ: ทั้งสองคนรีบหนีเร็ว!
เมบิอุส พา โอเนีย บินหนีไปที่อื่น ฮิคาริ ที่พยายามเรียกร้องความสนใจ อะแธ กลับไม่เป็นผล สิ่งเดียวที่มันไล่ล่าตอนนี้ก็คือสองคนนั้น เมบิอุส มีแผนว่าจะพา โอเนีย หนีไปที่จักรวาลอื่น แต่ไม่ว่าจะไปที่จักรวาลไหน ๆ ทุกที่ก็เกือบจะถูกความมืดกลืนกินเข้าไปทั้งหมดแล้ว เมบิอุส รีบพาเธอกลับไปที่จักรวาลเดิมแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะพลังงานสีดำได้ตามเข้ามากลืนกินข้างในจนพวกเขาเกือบจะหายไป
แต่ยังดีที่สุดท้ายหลุดออกมาได้ ตอนนี้ทั่วทั้งจักรวาลกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ถูกความมืดกลืนกินไปแล้ว จึงไม่มีทางเลือกทั้งสองคนจึงเลิกหนีและพร้อมที่จะต่อสู้ไปด้วยกัน
เมบิอุส: คุณ โอเนีย…มาปกป้องบ้านของพวกเรากันเถอะครับ!
เธอพยักหน้าและพร้อมที่จะออกต่อสู้กับฝ่ายของ เอเรบัส และทันใดนั้นเอง แขนเสื้อของเธอก็ได้ปรากฏอักขระขึ้นมาอีกครั้ง ᚠᚢᛏᚢᚱᛖ ในขณะที่ทั้งคู่จับมือกันและกัน แสงสว่างได้ส่องออกมาจากตัวของพวกเขา และกระจายออกไปหาเหล่าอุลตร้าคนอื่น ๆ ซึ่งทำให้พลังของพวกเขามากขึ้น "แสงสว่าง ชีวิต และอนาคต" อักขระที่เกิดขึ้นบนแขนเสื้อของเธอได้ปรากฏครบแล้ว
แสงสว่างนี้เป็นเหมือนเกราะป้องกัน อะแธ ที่พยายามจะมาชิงตัวก็ต้องกระเด็นออกไปไกล จากที่เสียเปรียบแต่หลังจากที่ได้รับพลังตอนนี้เหล่าอุลตร้าสามารถจัดการกองทัพแห่งความมืดได้จนเกือบหมด สุดท้ายนี่อาจเป็นจุดจบของเทพแห่งความมืดจริง ๆ หรือ
เจ้าพ่ออุลตร้าได้บินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางดั่งผู้ชนะ พร้อมประกาศถึงความพ่ายแพ้ของ เอเรบัส ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
เจ้าพ่ออุลตร้า: จอมจำนนสะท่านเทพแห่งความมืด ตอนนี้ท่านแพ้แล้ว
เอเรบัส ยืนเงียบสักพักก่อนที่ จะแสดงท่าทีถึงความพ่ายแพ้ของตน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง
เอเรบัส: พวกเจ้าชนะแล้ว…สิ่งที่ข้าต้องการ คือข้าแค่ต้องการอยู่กับคนที่ข้ารัก และชดใช้ความผิดในสิ่งที่ข้าก่อ…ตอนนี้จักรวาลกำลังจะหายไปทั้งหมดแล้ว…
ในขณะที่ เอเรบัส กำลังพูด เขาก็ได้รู้สึกบางอย่างกลางอกอันใหญ่โต มือแห่งความอ่อนโยนได้เข้ามาปลอบประโลม โอเนีย เงยหน้าขึ้นไปมองร่างอันใหญ่ยักษ์ และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
โอเนีย: แต่เรายังแก้ไขมันได้…ท่านอย่าจมปลักอยู่แต่กับความผิดในอดีตเลย
เอเรบัส: เทพีแห่งแสงสว่าง…
เอเรบัส ใช้นิ้วมือของเขาลูบไปที่แก้มของเธอแต่แล้วเขาก็ได้จับตัวเธอไว้ในกำมือ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างตกใจ เจ้าพ่ออุลตร้าที่เห็นไม่ลังเลรีบสั่งให้เหล่าอุลตร้าโจมตีใส่เขาพร้อมกัน ภาพตรงหน้าของ เอเรบัส สิ่งเดียวที่เห็นคือแสงสว่างจากพลังในตัวของเหล่าอุลตร้าที่กำลังยิงมาใส่เขาอย่างช้า ๆ ทำให้จักรวาลดูเหมือนเดินช้าลง
เอเรบัส ไม่สามาถหนีแต่เมื่อเห็นว่าลำแสงนั้นเป็นอันตรายต่อ โอเนีย เขาจึงปล่อยและใช้นิ้วผลักเธอให้กระเด็นออกไปอละได้ตัวของ เมบิอุส มารับไว้พอดี เขามองดูลำแสงจากการโจมตีที่เคลื่อนที่เข้ามาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้จะมีความสามรถในการดูดพลัง แต่การโจมตีที่มากขนาดนี้เขาก็ไม่อาจจะรับไหว
แต่ทันใดนั้นเองก็มีเงามาบังอยู่ตรงหน้า พร้อมกับกางแขนเป็นเกราะกำบัง เมื่อมองดูก็พบว่าคือ อะแธ ที่มารับการโจมตีแทน แสงนับร้อยนับพันพุ่งเข้าใส่ตัวของ อะแธ อย่างจัง จนเมื่อการโจมตีได้จบลง อะแธ หันไปหา เอเรบัส ด้วยอาการบาดเจ็บขั้นรุนแรง จึงใช้เวลาสุดท้ายนี้กล่าวบางอย่าง
อะแธ: ท่าน…เอเรบัส…ข้าดีใจ…ที่ท่านปลอดภัย
เอเรบัส: อะแธ เหตุใดเจ้าจึงคิดทำเช่นนี้!
อะแธ: เพราะข้า…อยากจะปกป้องคนที่ข้านับถือว่าเป็น…พ่อ
เอเรบัส: พ่อ…
อะแธ: สิ่งเดียวที่ข้าพยายามจะบอกท่านมาหลายนับต่อนับ…คือ…ข้าอยากให้ท่านรับข้าเป็นลูก…ไม่ว่าท่านจะดีจะร้ายกับข้าแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยคิดที่จะหนีจากท่าน…ข้าดีใจที่ได้รับใช้ท่านเสมอมา เอเรบัส…
เมื่อพูดจบร่างกายของ อะแธ ได้ค่อย ๆ สลายเป็นผุยผงพร้อมและภายในร่างของเขาได้สะสม Soul Light เอาไว้ เพราะในความคิดของ อะแธ ไม่เคยคิดในด้านลบของ เอเรบัส เลย เขาคิดเอาไว้ว่ายังไวสะเทพีแห่งแสงสว่างและเทพแห่งความมืดต้องจบลงกันด้วยดี จึงเก็บ Soul Light ส่วนสุดท้ายนี้ไว้เป็นพิเศษ
การจากไปของเงาคนสำคัญที่สุดของ เอเรบัส ทำให้เขาตระหนักได้ว่าความเห็นแก่ตัวที่เขาควรจะรู้สึกมาตั้งนานมันเป็นยังไง ความโมโหโทสะที่มีต่อ อะแธ ทให้เขารู้สึกผิดและสุดท้ายก็ได้กลับใจ เพื่อรักษาและผนึกจักรวาลในที่สุด
เอเรบัส: ข้าทำคนอื่นเดือดร้อนมามากมาย ถึงเวลาที่ข้าต้องชดใช้…เทพีแห่งแสงสว่าง และ เมบิอุส ถ้าพวกเจ้าต้องการผนึกจักรวาล มาพร้อมกับข้า
ทั้งคู่พยักหัว แผนการของ เอเรบัส คือ เขาจะใช้ร่างกายของตัวเองทดแทนส่วนที่ขาดหายไปของจักรวาลลที่ถูกกลืนกินไปแล้ว เหมือนกับกระดาษวาดภาพผืนใหม่ เขาหายเข้าไปในจักรวาลต่าง ๆ ที่กำลังถูกกลืนกินและใช้ตัวเองค่อย ๆ ทดแทนส่วนที่ขาดหายไปทั้งมหด เมื่อนั้นแล้วไม่ว่าเขาจะอยู่ในจักรวาลไหน เวลาที่เขาพูดก็จะได้ยินทั้งหมด
เอเรบัส: เมบิอุสพาเทพีแห่งแสงสว่างไปยังส่วนที่อยู่ของ เศษเสี้ยวของข้า
เมบิอุส: เข้าใจแล้วครับ
เอเรบัส: เทพีแห่งแสงสว่าง…เจ้ารู้หน้าที่ของเจ้าใช่มั้ย
ด้วยความรู้สึกผิดของตนที่ให้ เอเรบัส หลงเชื่อมานานเธอจึงตัดสินใจพูดความจริง
โอเนีย: ค่ะ…แต่มีบางเรื่องที่ท่านต้องรู้ ความจริงแล้วฉัน ไม่ใช่เทพีแห่งแสงสว่างจริง ๆ
เอเรบัส: ว่ายังไงนะ…
เมบิอุส: ตอนนี้อย่าพึ่งคุยกันดีกว่าครับ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว…เจ้าพ่ออุลตร้าพาทุกคนกลับเข้าไปในดาวนะครับ
เจ้าพ่ออุลตร้า: เข้าใจแล้ว โชคดีนะ เมบิอุส
เจ้าพ่ออุลตร้าได้พาชาวอุลตร้าทั้งหลายกลับเข้าไปในดาว และในที่สุดก็ได้เริ่มแผนการ "เงาแห่งความมืดจะกลืนกินจักรวาล" เมื่อแผนการของ เอเรบัส เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของ โอเนีย และ เมบิอุส เขาได้พาเธอข้ามมิติเพื่อตามหาเศษเสี้ยวที่อยู่ในจักรวาลแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นงานยาก เพราะจักรวาลนั้นกว้างเกินกว่าที่จะหาได้ง่าย ๆ แถมพวกเขาก็ลืมถาม เอเรบัส
แต่ทันใดนั้นเองเสียงของ เอลลัก ก็ได้พูดออกมาจากสร้อยคอ "จักรวาลแห่งจุดเริ่มต้น ที่อยู่ของเศษเสี้ยวอยู่ที่นั่นแหล่ะ"
โอเนีย: คุณ เอลลัก พอจะนำทางให้พวกเราได้มั้ยคะ
ประตูมิติสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทั้งคู่ได้เข้าไปในประตูมิติแห่งนั้นทันที แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับไม่พบอะไรมีเพียงความว่างเปล่าอยู่ตรงนั้น "แสงหนึ่งเดียวที่ส่องสว่างได้ในความมืด คือแสงจากผู้เริ่มต้น" คำพูดนี้ดังขึ้นมาในหัวของเธอ ทำให้เธอคิดอะไรบางอย่างออก
โอเนีย: เมบิอุส เธอเปลี่ยนให้ตัวเท่าเดิมที
เมบิอุส: รับทราบครับ!
หลังจากนั้นร่างกายของเขากลับมามีขนาดดังเดิม โอเนีย บินเข้าไปใกล้กับ Color Timer และใช้พลังงานแสงใส่เข้าไปในตัวของเขา ช่วงร่างขึ้นมาข้างบนตัวของ เมบิอุส เริ่มส่องสว่างขึ้นมาเรื่อย ๆ และในที่สุดแสงสว่างนั้นก็ไปเจิดจรัสไปทั่วและได้สร้างร่างใหม่ให้ เมบิอุส ที่มีลักษณะเหมือนเพชร การะจายแสงหลากสีไปทั่วทุกอณู ร่างนี้มีชื่อว่า "The Prism of Eternal Light"
เขามองดูร่างกายของตัวเองที่เปลี่ยนไปและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังหมาศาล แสงในตัวเขาส่องสว่างจนเห็นเศษเสี้ยวทั้ง 3 ในที่สุด เอเรบัส ที่รู้ว่าพวกเขาสามารถาเศษเสี้ยวได้แล้ว จึงได้บอกให้รีบจบให้ไวที่สุด โอเนีย ได้เรียกให้ เอลลัก ออกมาและพร้อมที่จะผสานเข้ากับเธอ สร้อยคอนั้นได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างกลายเป็นหญิงสาวโดยสมบูรณ์ แสงสว่างในตัวของ เอลลัก ยังคงเหมือนกับตอนแรกที่เธออยู่ที่นี่
เมื่อ เอเรบัส ได้เห็น เอลลัก ทำให้เขาคิดกลับไปกับสิ่งที่ โอเนีย ได้พูดไว้ และเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว
เอเรบัส: ที่ผ่านมาทั้งหมด…ไม่ใช่เจ้าสินะเทพีแห่งแสงสว่าง…เอลลัก ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าไม่ยอมอกมาหาข้าล่ะ
เอลลัก มองขึ้นไปหา เอเรบัส เธอหัวเราะคิกคักเบา ๆ และยิ้มออกมา
เอลลัก: จังจำชื่อข้าได้อยู่สินะ…ที่ข้าไม่ได้ออกมาหาท่านไม่ใช่ว่าข้าโกรธท่าน แต่ข้ารู้ถ้าข้าออกไปในช่วงเวลาที่ท่านยังไม่ให้อภัยและหลงอยู่กับอดีต สุดท้ายจักรวาลก็จะไม่ถูกผนึกแถมแย่กว่านั้น แต่ข้าโชคดีที่ โอเนีย เล่นบทเทพีแห่งแสงสว่างแทนให้เป็นอย่างดี
เอเรบัส: เอลลัก เจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ นะ…สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดกับเจ้ามาโดยตลอดคือ…ข้าขอโทษ
เอลลัก: ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากท่าน แต่ตอนนี้ข้าเหลือเวลาไม่มาก ต้องได้ผสานกับ โอเนีย ข้าขอเวลาให้นางบอกลา เมบิอุส สักหน่อยจะดีกว่า
เมบิอุสที่ได้ยิน รีบย่อส่วนตัวเองและบินเข้ามาใกล้ ๆ พวกเธอ พร้อมคืนร่างปกติ
เมบิอุส: บอกลา…หมายความว่ายังไงครับ
เมื่อเขาหันหน้าไปถาม โอเนีย สีหน้าของเธอแสดงความสงสารออกมาต่อความรู้สึกของ เมบิอุส ที่เธอยังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา
โอเนีย: สิ่งนึงที่ฉันยังไม่ได้บอกเธอก็คือเรื่องนี้แหล่ะ…การผนึกจักรวาล ฉันจำเป็นต้องไปเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้ด้วย…
เขากุมมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้แน่น
เมบิอุส: คุณ โอเนีย…ทำไมล่ะครับ…ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ
เธอกลั้นน้ำตาไม่อยู่พร้อมกอดเขาและกล่าวข้อความครั้งสุดท้ายให้เขารู้ ความรู้สึกตลอดเวลาที่เธอได้อยู่กับเขาแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
โอเนีย: เมบิอุส น่คือหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน เธอไม่ต้องเศร้าหรอกนะ ตลอดเวลาที่ฉันได้อยู่กับเธอ ทุกครั้งที่มีเธอมาอยู่ข้างกายฉันรู้สึกเหมือนได้อยู่ "บ้าน" รู้สึกอบอุ่นเหมือนเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ขอบคุณนะ…ที่เธอมีตัวตนให้กับฉัน
เมบิอุส: คุณ โอเนีย ครับ…ผมมีสิ่งที่อยากจะให้คุณ โอเนีย รู้คือ ขอบคุณที่มาเติมเต็มชีวิตของผมนะครับ…
โอเนีย ลูบหลังของเขาเบา ๆ และยิ้มอย่างอบอุ่น
โอเนีย: เมบิอุส…เธอเองก็เป็นคนมาเติมเต็มฉันเหมือนกัน…ขอบใจที่มาเป็นแสงสว่างในชีวิตของฉันนะ แม้ตัวของฉันจะไม่อยู่ แต่ก็ให้เธอรู้ไว้ ว่าฉันจะอยู่กับเธอทุกที่…
เมื่อพูดจบก็ได้เวลาที่เธอต้องไปกับ เอลลัก เธอพูดทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
โอเนีย: เมบิอุส มีความสุขมาก ๆ นะ…ขอโทษที่ไม่ได้ทำตามที่สัญญาไว้ แต่ฉันมีของขวัญให้เธอ ถ้าพวกเราโชคดี อาจจะได้เจอกันอีก…
เมบิอุส: คุณ โอเนีย…
โอเนีย: ขอบคุณ ที่ดูแลฉันมาตลอดนะ
หลังจากนั้นเธอลอยเข้าไปหา เอลลักพร้อมจับมือเอาไว้ เอลลัก หันมามองและได้ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เอลลัก: พร้อมนะ
เธอพยัก หลังจากนั้นร่างกายของทั้งสองค่อย ๆ ส่องสว่างขึ้นเศษเสี้ยงทั้ง 3 ของเอดรบัสก็ค่อย ๆ เขามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาเช่นกัน ก่อนจะหายไปเป็นแสงในท้ายที่สุด โอเนีย ยิ้มส่งท้ายให้และหลังจากนั้นพลังที่หลอมรวมกันแล้วก็กลายเป็นแสงสว่างกระจายไปทั่วเหมือนกับในตอนแรกที่สร้างจักรวาลขึ้นมา เมบิอุส ทำได้เพียงแค่มองพวกเขาที่ค่อย ๆ หายไป
ที่แห่งหนใดที่แสงสว่างนั้นส่องผ่าน ดาวเคราะห์แห่งนั้นก็จะฟื้นฟูกลับคืนมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แถมบางที่ยังสร้างดาวเคราะห์ขึ้นมาใหม่ จักรวาลเริ่มกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง แสงศักดิ์สิทธิ์นี้ส่องไปทั่วทุกจักรวาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อยู่เหนือกาลเวลาและการมีตัวตน เมื่อแสงนั้นได้พุ่งผ่านนครแห่งแสงที่ โอเนีย ได้สร้างขึ้น ชาวอุลตร้าทั้งหลายได้มีตัวตนเป็นสิ่งมีชีวิตของจักรวาลของจริง
แต่พวกเขากลับลืมชื่อของ…"เธอคนนั้น" ไป ยกเว้นเพียง เมบิอุส เขาได้ใช้พลังกลับไปมิติเดิมและมองดูดาวมรกตสีเขียวที่ส่องสว่างอย่างสวยงาม แม้จะรู้สึกเศร้าแต่ยังมีอนาคตข้างหน้าให้เดินต่อ ความประทับใจที่เขาได้เจอเธอจะไม่มีวันหายไปจากใจเขาตลอดไป และสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นผู้ปกป้องจักรวาลซึ่งไม่ว่าจะเป็นในจักรวาลไหนเขาก็จะไปให้ถึง
และแล้วแสงสว่างก็ได้เดินทางเข้าระบบสุริยะฟื้นฟูดาวทั้งหมดรวมถึงดาวโลก จากดาวเคราะห์สีดำไร้ชีวิตค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงกลับคืนมามีชีวิตชีวาดังเดิม ตึกราบ้านช่องได้รับการซ่อมแซมเหมือนใหม่ ประชากรโลกทั้งหลายฟื้นขึ้นมาและจำเหตุการณ์แสนทรหดที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนไม่ได้อีกต่อไป เป็นเหมือนเพียงฝันร้ายที่ถูกขจัดออกไป แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องลงมาให้ความอบอุ่น ความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่
ในที่สุดพลังวิเศษนี้ฟื้นฟูโลกให้กลับมาดังเดิม และภาพได้ตัดไปที่หญิงสาวผู้หนึ่งนามว่าซายะ ผู้ที่นอนสลบอยู่ที่พื้น ในร้านน้ำของเธอที่ตั้งใจสร้างมาเพื่อทำตามความฝันพร้อมกับ…ใครกันนะ…
เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงงว่าเธอลงไปนอนที่พื้นได้อย่างไร
ซายะ: ฉันหลับไปตอนไหนเนี่ย…
ก่อนที่จะลุกขึ้นเธอรู้สึกอะไรบางอย่างที่มือข้างซ้าย ปรากฏว่าเป็นผ้ากันเปื้อนของใครบางคนที่เขียนชื่อเอาไว้ว่า "โอเนีย" แต่เมื่อมองเธอกลับไม่รู้ว่าใครคือ "โอเนีย" ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกดีที่ได้เห็นและสัมผัสเหมือนมีความผูกพันมานาน
ซายะ: ชื่อน่ารักจังเลย
เธอลุกขึ้นและแขวนผ้ากันเปื้อนนั้นเอาไว้ ในจังหวะเดียวกันก็มีลูกค้าเข้ามาในร้าน เธอเข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ภาพได้ค่อย ๆ ซูมออกและเปลี่ยนไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นบ้านของ…ใครบางคน ค่อย ๆ สลายไปดั่งเศษฝุ่นผงวิเศษ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ยามทิวากำลังตกดินแสงจากทินกรส่องแสงสีทองอร่ามพร้อมท้องฟ้าทอประกายสีม่วงสวยงาม
หลังจากที่บ้านหลังนั้นได้หายไปแล้วเหลือไว้เพียงตุ๊กตาตัวหนึ่ง คือตุ๊กตาอุลตร้าแมนทาโร่ที่อยู่บนพื้นหญ้า พร้อมกับสายลมที่พัดเบาสบาย
และภาพได้เปลี่ยนขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่พร้อมกับดาวเล็ก ๆ ดวงหนึ่งก่อนจะค่อย ๆ มืดลง และดำสนิด
จบ
